วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ให้ด้วยใจ



         ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขและทำให้สังคมสงบสุขคือ "การให้" ทุก ๆ ครั้งที่เราให้จิตใจเราจะมีความผ่องใส รู้สึกอิ่มเอิบใจ ยิ่งการให้นั้นเป็นการให้โดยที่เราไม่ได้หวังผลใด ๆ ตอบแทน ยิ่งทำให้เรามีความสุขมากขึ้นไปอีก และหากการให้นั้นมันคือความจำเป็นสำหรับผู้รับทำให้เขามีความสุข เราจะยิ่งมีความรู้สึกดีมากขึ้นไปอีกอย่างบอกไม่ถูก การให้แม้เพียงเล็กน้อยหรือการให้จำนวนมาก หากผู้ให้ให้ด้วยความตั้งใจจากหัวใจจริง ๆ ความสุขที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกัน สิ่งตอบแทนที่ได้รับและทำให้ผู้ให้ที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนรู้สึกดีและปลาบปลื้มใจ คือ คำขอบคุณและความรู้สึกดี ๆ ที่ผู้รับมีให้ เท่านี้ความสุขมันก็เกิดขึ้นได้อีกมากมาย
         การทำงานของผมและเพื่อน ๆ แพทย์ทั้งหลายมันมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับการให้อยู่หลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่การทำงานของพวกผมจะทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายและได้รับสิ่งตอบแทนเป็นเงินเดือนหรือค่าตรวจรักษา แต่บางครั้งเรื่องการให้มันกลับแทรกเข้ามาอยู่กับการทำงานของพวกผมโดยไม่รู้ตัวและมันเป็นการให้ที่พวกเราไม่ได้หวังอะไรตอบแทนอีกด้วย การให้แม้ไม่ใช่สิ่งของหรือการทำสิ่งใดให้แต่เป็นเพียงคำพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจหรือให้ความรู้สึกดี ๆ ที่อยากให้คนไข้ที่รักษาหาย ผมรู้สึกได้ว่าคนไข้ของผมเขารู้สึกได้จากความจริงใจที่เรามีให้ ความรู้สึกดี ๆ ที่เขาให้กับผมและคำขอบคุณที่ได้รับ มันยิ่งทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นไปอีก จนบางครั้งผมเกิดความกลัวว่าในอนาคต ผมจะเป็นโรคหัวใจโตหรือเปล่า เพราะหัวใจมันพองโตบ่อย ๆ จนมันคับเต็มทรวงอกผมแล้ว กลัวว่า ผมจะเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็ยังไม่มีคนรักเลยสักคนที่มาทำให้หัวใจผมล้มเหลว แต่ถึงอย่างไรแม้ผมจะเป็นโรคหัวใจโต แต่ผมก็ภาคภูมิใจและมีความสุขที่ผมได้ให้ ให้ด้วยหัวใจของผม
         ในความเข้าใจของคนทั่วไปโดยส่วนใหญ่ การให้หมายถึงให้สิ่งของเงินทอง แต่ในความเป็นจริงมีสิ่งอื่นที่เราสามารถให้ได้อีกมาก ทั้งความรู้ คำแนะนำ ความรู้สึกดี กำลังใจ อภัย และการกระทำอื่น ๆ ที่เกิดประโยชน์กับผู้รับ ที่เราให้ด้วยความจริงใจ สิ่งเหล่านี้หากใครมีอะไรก็ให้เท่าที่ตนสามารถให้ได้ เราจะพบว่าสังคมเราจะมีความสงบสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ เป็นสังคมที่มีแต่คนอยากให้ การให้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความอยากได้ สองอย่างนี้หากมีความไม่สมดุลกันเราจะเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นเหมือนที่เราเห็นในบ้านเมืองเรา หากพวกเราลองมองมุมใหม่ด้วยความรู้สึกอยากให้ ลองตัดความรู้สึกอยากได้จากคนอื่นออกไปบ้าง เราจะพบสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตอีกหลายเรื่อง เรื่องเหล่านั้นมันทำให้เรามีความสุขได้อีกด้วย
         ผมชอบอ่านหนังสือ ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม ผมได้แนวคิดใหม่ ๆ ในการดำเนินชีวิตจากหนังสือเหล่านั้น ผมเปลี่ยนแนวทางของตัวเองจากที่อยากได้มากกว่าอยากให้ เปลี่ยนเป็นการให้ที่มีความสมดุลกับความอยากของตัวเอง ก็เนื่องด้วยผมได้รับอิทธิพลของแนวคิดของท่านผู้เขียนเหล่านั้น ที่ผมพอสรุปสาระสำคัญที่ได้คือ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" สิ่งที่ได้รับนั้นมันอาจไม่ใช่สิ่งตอบแทนที่เป็นสิ่งของเงินทอง แต่หลายครั้งมันคือความรู้สึกดี ๆ และความสุขที่อยู่ในใจของผู้ให้ บางครั้งการให้เราอาจจะมีความคาดหวังว่ามันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น บุญกุศลที่เราได้ทำจากการให้มันจะช่วยส่งเสริมเราให้ก้าวหน้าในชีวิต หน้าที่การงาน และหลายคนพบว่ามันมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่บางเรื่องราวเราอาจจะหาเหตุผลใด ๆ มาสนับสนุนไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อว่า คนที่เป็นผู้ให้จะได้รับเพราะสิ่งต่างๆ ที่เราทำไว้มันจะส่งผลสะท้อนในรูปแบบที่ซับซ้อนให้เราเห็นได้ในอนาคตโดยที่เราไม่อาจรู้ตัวก็ได้ สิ่งที่เราไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ ๆ
         โดยส่วนตัว ผมเองไม่ได้คาดหวังจากการให้สักเท่าไหร่ มักจะให้ด้วยความรู้สึกอยากให้มากกว่า หลายครั้งอาจจะให้แล้วมีเงื่อนไขบางอย่างก็เพื่อเป็นการอบรมสั่งสอนคนที่เราให้เพื่อดำเนินชีวิตในแนวทางที่ถูกต้อง ในการให้ทุกครั้งไม่ว่าแบบไหน ผมว่ามันทำให้ผมมีความสุขจริง ๆ หากพวกเราลองปรับความคิดของตนเองสักนิด มีแนวคิดของการให้มากขึ้นเราจะพบความสุขมากขึ้นไปอีก หรือหากใครยังมีความคิดว่าให้เพื่อหวังผลตอบแทนบางอย่าง ก็ลองคิดว่า ยิ่งให้ ยิ่งได้ เราจะอยากเป็นผู้ให้มากกว่าที่เราให้อยู่ทุก ๆ วัน เชื่อเถอะครับว่า ยิ่งให้ ยิ่งได้ มันเป็นจริง

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มองภาพระยะยาวกับเป้าหมายการออม

    
     เมื่อวานนี้มีน้องคนหนึ่งถามผมว่า ทำอย่างไรเขาถึงจะเก็บเงินได้เยอะ ๆ เรานั่งคุยกันไม่นาน ผมอธิบายวิธีการให้เขาฟังใช้เวลาสัก 15 นาที แบบสรุป ๆ เพราะเขาต้องมีงานทำต่อ ผมพบว่าความคิดของคนส่วนใหญ่มักจะมองภาพในระยะสั้นมากกว่าภาพในระยะยาว หลายคนอาจจะบอกผมว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้อยู่กับปัจจุบัน เหมือนอย่างที่หลักการทางพุทธศาสนาเราสอนไว้ แนวคิดนี้เป็นจริงเสมอสำหรับชาวพุทธอย่างพวกเรา ในชีวิตจริงอนาคตเป็นสิ่งที่เราต้องคิดถึงเสมอด้วยเหตุที่มันเป็นแผนการที่เราจะต้องทำต่อไป เช่น พรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางไปไหน แต่ในความเป็นจริงคือเราอยู่ในวันนี้และกำลังมีกิจกรรรมในวันนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องอยู่กับปัจจุบันกับกิจกรรมเหล่านั้น ในระหว่างนี้อาจเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เราไม่ได้เดินทางวันพรุ่งนี้ก็ได้ มันจึงเป็นเรื่องที่เราถูกสอนให้อยู่กับปัจจุบันเสมอมา ปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราต้องอยู่กับมัน อนาคตเป็นสิ่งที่เราต้องวางแผนเสมอ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะไม่วางแผนอนาคต แม้แต่เย็นนี้เราจะต้องทำอะไรเราก็คิดกันอยู่แล้ว 

     การวางแผนอนาคตเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนเรา โดยที่เราจะมีเป้าหมายเพื่อจะเดินทางไปให้ถึง เป้าหมายที่จะเดินทางมีทั้งเป้าหมายในระยะสั้น เป้าหมายระยะกลาง และเป้าหมายระะยาว ระยะเวลาเท่าไหร่จึงจะถือว่าเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวผมคงไม่สามารถบอกได้ทั้งหมดทุกเป้าหมาย ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายนั้นคืออะไร ผมยกตัวอย่าง หากเราต้องการสร้างบ้านให้เสร็จภายในสามเดือน เป้าหมายระยะสั้นคือ การออกแบบบ้านให้ได้ก่อน พอได้แบบก็หาผู้รับเหมา เป้าหมายระยะกลางอาจจะเป็นการได้โครงสร้างบ้านภายในหนึ่งเดือน ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือ ได้บ้านที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ภายในบ้านในระยะเวลาสามเดือนหลังจากเริ่มวางแผน เราจะเห็นว่า การที่เรามีเป้าหมายต่าง ๆ ต้องมีระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ในแต่ละเป้าหมายมีระยะเวลาที่เหมาะสมของมันอยู่ 

     เรื่องการออมก็เช่นกัน มีเป้าหมายที่เราจะต้องไปให้ถึงตามการวางแผนของเรา หากเรากำหนดระยะเวลาในระยะสั้นเพื่อที่จะทำให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น สิ่งที่เราจะต้องเจอคือความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก หรืออย่างการสร้างบ้านก็เช่นกันหากเราต้องการสร้างบ้านให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน สิ่งที่ตามมาคือ โครงสร้างภายในบ้านอาจจะไม่มั่นคง ความละเอียดเรียบร้อยในการตกแต่งอาจจะไม่ดีพอ เพราะเหตุของการทำงานที่ต้องเร่งรีบมากเกินไปเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายของเราจนขาดความรอบคอบในการทำงาน ในส่วนการออมสำหรับชีวิตอนาคตระยะเวลาหนึ่งปี สองปี อาจจะไม่ใช่เป้าหมายการออมในระยะยาวเพื่อการมีอิสรภาพทางการเงินที่ผมเล่าให้พวกเราฟังเสมอ ๆ คือการที่เรามีเงินใช้จ่ายได้ตลอดแม้ว่าเราไม่ต้องทำงานแล้วก็ตาม การที่เราต้องการทำให้ได้ตามเป้าหมายในระยะเวลาดังกล่าวมันคือการทำตามเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงมากสำหรับคนที่ยังมีเงินออมน้อยหรือกลุ่มคนชั้นกลางในสังคม หากเรามองภาพในระยะยาวความเสี่ยงของการออมจะลดลงไปมาก ระยะยาวสำหรับการออมอาจใช้เวลานานถึงห้าปี สิบปี ยี่สิบปี หรืออาจยาวนานถึงสามสิบปีก็เป็นได้ที่จะทำให้เราได้ตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ เป้าหมายสำหรับการมีอิสระภาพทางการเงินเป็นเป้าหมายที่ทุกคนสามารถตั้งได้และสามารถทำให้สำเร็จได้ ขอให้เรามีความเพียร อดทน การรอคอยระยะเวลาสิบปี ยี่สิบปีอาจยาวนานเกินไปสำหรับใครบางคน แต่หากวันนั้นมาถึงเราจะมีความภาคภูมิใจกับสิ่งที่เราทำได้แทนที่ความเสียใจที่เราไม่ได้ทำตั้งแต่วันนี้

     คนส่วนใหญ่ที่ผมพบและพูดคุยหรือแม้แต่หนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนเพื่อความร่ำรวยมักจะมองในภาพระยะสั้นโดยที่มักจะลืมกล่าวถึงภาพในระยะยาวที่เป็นการออมตลอดชีวิตหรือการออมเพื่อการเกษียณหรือการมีอิสรภาพทางการเงิน สิ่งเหล่านี้ผมมักจะคุยให้กับคนที่ถามผมเสมอว่าระยะเวลาเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ผลตอบแทนในการลงทุนจากการออมของเรา ผลตอบแทนแบบทบต้นจะเป็นตัวช่วยให้เรามีความมั่งคังได้โดยระยะเวลาเป็นตัวแปรที่สำคัญเช่นกัน ระยะเวลาที่ยาวนานเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับคนทั่วไปจะสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในวิธีต่าง ๆ ได้ ส่วนผลตอบแทนที่ได้ถึงขั้นมากมายมหาศาลจนเป็นมหาเศรษฐี จะขึ้นกับความรู้ความสามารถของคนคนนั้นในการมอง เข้าใจ และสามารถวิเคราะห์การลงทุนแต่ละประเภทได้เหนือกว่าคนทั่วไป แต่สำหรับคนทั่วไปมีวิธีการที่จะพาเราไปสู่อิสรภาพทางการเงินที่ไม่ต้องถึงขั้นเป็นมาหาเศรษฐีได้เช่นกัน

     สำหรับการเริ่มต้นการออม สิ่งแรกที่เราต้องจัดการให้ได้ก่อนเสมอคือหนี้สิน หากเรามีหนี้สินที่รวมกับค่าใช้จ่ายแล้วเท่ากับหรือมากกว่ารายรับที่เราหาได้ การออมจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนการจัดการกับหนี้สินมีวิธีที่หลากหลายขึ้นอยู่กับว่าหนี้สินนั้นเป็นหนี้อะไร ผมคงไม่สามารถช่วยเราทุกคนจัดการกับหนี้สินของแต่ละคนให้หมดไปได้ แต่พอจะช่วยแนะนำและหาทางออกให้ได้ เมื่อไหร่ที่เราสามารถจัดการกับตนเองจนสามารถมีค่าใช้จ่ายรวมกับหนี้สินน้อยกว่ารายรับที่เราหาได้ก็จะถึงขั้นเริ่มต้นการออมต่อไป สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะบอกกับคนที่คุยกับผมเสมอว่า ถ้าเรามีเป้าหมายอย่างหนึ่งแล้ว ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำไม่ได้เราก็จะทำไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับความคิดของเรา หากเราคิดใหญ่เราจะได้เป้าหมายที่ใหญ่และมันจะเป็นแรงผลักดันให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นได้ หากเราคิดเล็กเป้าหมายก็จะเล็กตามและถึงเราจะทำสำเร็จมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการก็ได้ เราอาจจะเคยได้ยินวลีที่มีคนสอนว่า "คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก" นี่คือสิ่งที่ช่วยกำหนดเป้าหมายของเราได้ร่วมกับการวางแผนโดยมองภาพในระยะยาวที่ช่วยลดความเสี่ยงในการออมและการลงทุนของเราและยังสามารถประยุกต์เข้ากับการทำงานในเรื่องอื่นได้อีกด้วย แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเราได้เริ่มต้นทำหรือยัง