วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การตรวจเพิ่มเติมสำหรับอาการปวดศีรษะ

    
     ผมติดค้างเรื่องเล่าการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจทางรังสีวิทยา และการรักษาอาการปวดศีรษะให้พวกเราอ่าน เมื่อวานนี้มีเพื่อนคนหนึ่งของผมมีอาการปวดศีรษะมาก กินยาแก้ปวดชนิดที่แรงแล้วยังไม่หายปวด ก็เลยโพสลงเฟซบุ๊ก หลังจากเขาไปนอนมาแล้ว ตื่นขึ้นมาผมคิดว่าอาการคงดีขึ้น ไม่ได้ถามต่อ เลยไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด ผมหวังว่าเขาคงไม่ได้เป็นโรคอะไรที่ร้ายแรง
      ในเรื่องอาการปวดศีรษะ ผมพบว่า มีคนไข้หลัก ๆ อยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่กลัวเรื่องอาการปวดศีรษะมากกลัวจะเป็นโรคร้ายแรง กลุ่มนี้จะคิดว่าตนเองเป็นโรคที่อาจถึงขั้นเสียชีวิต เกิดความพิการหรือเป็นโรคเรื้อรังที่จะมีอาการแย่ลงและรักษาไม่หายขาดจึงมีความคาดหวังสูงมากและมีความต้องการที่จะตรวจทุกอย่างที่ทำให้ได้การวินิจฉัยที่ชัดเจน ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่ไม่กลัวอาการปวดศีรษะกลุ่มนี้มีทั้งคนที่คิดว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรมากขอแค่ได้ยาแก้ปวดให้หายปวดก็พอ แต่หากแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงเขาอาจจะมีความคิดเหมือนกลุ่มที่หนึ่งได้เช่นกัน และในกลุ่มนี้ยังมีคนที่คิดว่าถึงเป็นโรคร้ายแรงก็ไม่กลัวอีกเช่นกัน กลุ่มนี้ความคาดหวังจะไม่สูงเท่ากับกลุ่มแรกขอให้ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงเขาเหล่านั้นจะรู้สึกดีใจมาก ที่ผมแบ่งกลุ่มคนไข้นั้น ผมพบว่าในการตรวจทางห้องปฎิบัติการหรือการตรวจทางรังสีของคนไข้ที่มีอาการปวดศีรษะหลายครั้งคนไข้จะได้รับการตรวจตามความคาดหวังของคนไข้ทั้ง ๆ ที่การตรวจนั้นอาจจะเกินความจำเป็น หรือการไม่ตรวจเพิ่มเติมในคนไข้ที่กลุ่มที่สองที่มีความคาดหวังไม่สูงเท่า โดยอาจจะเกิดจากการตรวจร่างกายที่ไม่ละเอียดทำให้ไม่นึกถึงโรคที่ร้ายแรงที่ต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือตรวจทางรังสีวิทยาเพิ่มเติม หรือ ทราบความคาดหวังของคนไข้ตั้งแต่ต้นจึงไม่ได้ส่งตรวจเพิ่มเติม 
     ในการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการตรวจทางรังสีวิทยาแต่ละครั้งก่อนที่แพทย์จะส่งตรวจจะต้องมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ในการส่งตรวจเสมอ ยกเว้นในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการตรวจเองซึ่งเรามักจะพบกรณีเช่นนี้บ่อย ๆ ในกลุ่มคนไข้ของโรงพยาบาลเอกชน ข้อบ่งชี้ในการส่งตรวจจะมีทั้งที่ได้จากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย หรืออาจจะได้จากผลการตรวจเลือดหรือตรวจทางรังสีวิทยาที่ได้ทำการตรวจไปแล้วก็ได้ ข้อบ่งชี้มีความสำคัญมากทำให้แพทย์ไม่ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์หรือทางรังสีวิทยาอย่างพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น ซึ่งจะเป็นปัญหาสำคัญส่วนหนึ่งต่อค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขของประเทศ 
      การตรวจทางห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติในเลือดที่สามารถพบได้และมักจะทำให้ทราบสาเหตุทางอ้อมที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ส่วนการตรวจทางรังสีวิทยา จะมีการตรวจเอ็กซเรย์ธรรมดา การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และการตรวจแบบพิเศษอื่นอีกหลายอย่าง ผมพบว่า คนไข้ส่วนหนึ่งต้องการตรวจเอ็กซเรย์สมอง ความเข้าใจของเขาคือการตรวจเอ็กซเรย์แบบธรรมดา ความจริงแล้วการตรวจเอ็กซเรย์แบบธรรมดาจะดูได้เฉพาะในส่วนของกะโหลกศีรษะที่เป็นกระดูกและโพรงอากาศที่อยู่ในกะโหลกศีรษะ ส่วนอื่น ๆ รวมถึงสมองจะไม่สามารถบอกรายละเอียดได้จากการเอ็กซเรย์แบบธรรมดา หรือแม้แต่กะโหลกศีรษะส่วนที่เป็นกระดูกเองก็ตามหากเกิดอุบัติเหตุแล้วมีกระโหลกศีรษะแตกการตรวจเอ็กซเรย์ธรรมดาอาจจะไม่เห็นตำแหน่งที่แตกก็ได้ ผมพบว่าหลายครั้งการส่งตรวจเอกซเรย์กระโหลกศีรษะจะตรวจในกรณีของผู้ป่วยที่มีอุบัติเหตุที่ศีรษะแต่ตรวจร่างกายหรืออาการของผู้ป่วยปกติซึ่งจะได้รับการส่งตรวจบ่อย ๆ ในกรณีที่ต้องการสร้างความสบายใจและทำตามความต้องการของคนไข้และญาติที่ต้องการตรวจเอกซเรย์ทั้ง ๆ ที่แพทย์ก็ทราบว่ายังไงผลการตรวจออกมาก็ปกติ อย่างไรก็ตามหากแพทย์สงสัยว่ามีกะโหลกศีรษะแตกหรือมีการบาดเจ็บของสมอง ศัลย์แพทย์หรือแพทย์ที่ตรวจที่ห้องฉุกเฉินจะทำการส่งตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองซึ่งเป็นการดูในรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น 
       การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองหรือที่คนทั่วไปรู้จักคือ CT scan และการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือตัวย่อที่เราเคยได้ยินก็คือ MRI เป็นการตรวจที่สามารถบอกรายละเอียดของสมองได้ดี โดยเฉพาะการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะทราบรายละเอียดความผิดปกติของสมองได้เป็นอย่างดีที่จะสามารถบอกได้อย่างละเอียดว่าเรามีโรคร้ายแรงในสมองหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็มีข้อจำกัดเพราะต้องใช้เวลาตรวจนานจึงไม่เหมาะกับคนไข้ที่มีภาวะฉุกเฉินที่มีอาการไม่คงที่และไม่เหมาะกับคนที่มีโลหะอยู่ภายในร่างกายเพราะจะเกิดการบาดเจ็บจากแรงดึงดูดของคลื่นแม่เหล็ก นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับคนที่กลัวที่แคบอีกด้วยเพราะลักษณะการตรวจจะต้องเข้าไปในอุโมงค์ กลุ่มคนที่มีข้อจำกัดเหล่านี้จะได้รับการตรวจโดยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองแทนซึ่งสามารถบอกความผิดปกติได้ระดับหนึ่งแต่อาจไม่ดีเท่ากับการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
     ในส่วนข้อบ่งชี้ในการตรวจทางรังสีวิทยาส่วนหนึ่งจะเป็นอาการที่อยู่ในสัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะที่ผมเคยนำมาให้อ่านกันและอีกส่วนจะเป็นการตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจร่างกายของแพทย์โดยเฉพาะความผิดปกติจากการตรวจร่างกายระบบประสาทที่ทำให้ทราบการวินิจฉัยตั้งแต่ก่อนส่งตรวจด้วยซ้ำไป การส่งตรวจทางรังสีวิทยาจึงเป็นการยืนยันการวินิจฉัยและมีส่วนสำคัญในการติดตามอาการของโรค
       ยังเหลือเรื่องการรักษาอาการปวดศีรษะซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของอาการปวดศีรษะ ว่าง ๆ ผมจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคับ 

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

งานแต่งงานกับการมีชีวิตคู่


    
     ช่วงนี้ผมมีแผนการไปร่วมงานแต่งงานเพื่อนหลายคน รู้สึกว่าปีนี้จะมีเพื่อนแต่งงานกันหลายคู่ตั้งแต่ต้นปี สำหรับผมโอกาสแบบเพื่อนผมคงไม่มี งานแต่งงานมีทั้งงานของเพื่อนสมัยมัธยม งานของเพื่อนสมัยเรียนแพทย์เชียงใหม่ หลายงานเลยทีเดียว เมื่อวานนี้ก็พลาดไปงานเพื่อนสมัยเรียนแพทย์เชียงใหม่เนื่องจากมีเหตุฉุกเฉินที่ปลีกตัวไปไม่ได้ หากนั่งนึกดูตามหลักเศรษฐศาสตร์และการลงทุนแล้วพบว่า เราต้องมีค่าใช้จ่ายในการไปร่วมงานมากเลยทีเดียว งานเหล่านี้ลักษณะเหมือนการระดมทุนให้สำหรับผู้จัดงาน สำหรับผู้ร่วมงานและร่วมสมทบทุนจะเป็นการลงทุนที่ขาดทุนเสมอ ๆ โอกาสในการได้กำไรแทบจะไม่มี ยกเว้นว่าเราจะมีการจัดงานลักษณะเดียวกันมากกว่างานที่เราเข้าไปร่วมงาน แต่โอกาสเช่นนี้เป็นไปได้น้อยมากในคนคนหนึ่งที่จะจัดงานมากกว่างานที่เราไปร่วม เพราะหากเราจะไม่ไปร่วมงานใครเลย คนอื่น ๆ ก็อาจจะไม่มาร่วมงานเราด้วยเช่นกัน เราคงเคยได้ยินว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็คือ ภาษีสังคม 

     จริง ๆ แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายในการไปร่วมงานผมคิดว่าคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับหลาย ๆ คน สำหรับผมก็เช่นกัน เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ใช่ประเด็นสำคัญของผมเลย เพียงแค่อยากเล่าถึงความเป็นจริงของเรื่องเหล่านี้เท่านั้นเอง ผมอยากไปร่วมงานเพื่อนผมทุก ๆ คนที่ผมทราบข่าวและมีเวลาว่างที่จะไปได้ เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคือผมอยากไปเจอเพื่อนผมหลังจากที่พวกเราไม่ได้เจอกันมานาน มันมีความรู้สึกดีเสมอที่พวกเราได้เจอกัน บรรยากาศเช่นนี้ผมอยากเก็บมันไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมสามารถจะทำได้และโอกาสของผมจะเอื้ออำนวย  ผมยินดีกับเพื่อน ๆ ที่ได้แต่งงานเสมอ ๆ การแต่งงานบางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นการประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก สำหรับผมที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความรัก คิดว่า มันเป็นเรื่องของการเริ่มต้นของความรักรูปแบบชีวิตคู่มากกว่า ความสำเร็จสำหรับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่บอกยากเพราะเป้าหมายของแต่ละคนในเรื่องการมีชีวิตคู่มันต่างกัน ถึงแม้ว่า วันนี้เราอาจจะบอกว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว แต่ความล้มเหลว มันอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็ได้ จึงเป็นเรื่องที่มีความผันแปรสูง อยู่ที่คนสองคนว่าจะจัดการปัญหาที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวได้อย่างไร 

     เราเคยเรียนกันมาว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจึงต้องการอยู่ร่วมกับคนอื่น การอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายมันทำให้เราอยู่อย่างลำบาก แต่การที่อยู่ร่วมกับคนจำนวนมากเกินพอดีมันก็เกิดปัญหาอีกเช่นกัน ความพอดีอยู่ที่ไหนขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะนิยามมัน ความรักและการมีชีวิตคู่เป็นสิ่งที่มนุษย์เราต้องการในฐานะที่เราเป็นสัตว์สังคม ก็ด้วยเหตุที่เราไม่ต้องการอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ขอให้มีใครสักคนอยู่ด้วย แต่เรื่องความรักและการชีวิตคู่แล้วมีกันอยู่สามคนในแบบสามีภรรยาหรือแบบคู่รัก คงไม่ใช่นิยามของชีวิตคู่ มันจะกลายเป็นชีวิตคี่ไปเสียแล้ว หรือแม้จะมีสี่คนหรือหกคนซึ่งก็ถือว่าเป็นคู่ แต่มันก็คงไม่ใช่ชีวิตคู่ตามนิยามของคนทั่วไป และมันจะนำมาซึ่งปัญหาสำคัญ ๆ ตามมา ดังนั้นการที่พวกเราเป็นสัตว์สังคมต้องการอยู่ร่วมกับคนอื่นจึงต้องมีขอบเขตของความสัมพันธ์เสมอ เราจึงจะอยู่กันอย่างมีความสุข สำหรับผมคงมีชีวิตคี่ อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ยังมีความต้องการของความเป็นสัตว์สังคม ต้องการความสัมพันธ์กับคนอื่นในรูปแบบครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ถึงแม้ว่าผมคงไม่มีโอกาสมีชีวิตคู่เหมือนเพื่อน ๆ ของผมและผมคงไม่พยายามค้นหาจนผมต้องทุกข์ใจ ถึงอย่างไรความสุขของการมีชีวิตคี่มันก็มีได้อย่างที่ผมมีอยู่ทุกวันนี้