ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ท่านหนึ่ง
เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่นำส่งผู้ป่วย ผมคุยถึงชีวิตในอดีตของเขา ผมถามเหตุผลที่เขาเข้ามาทำงานในกรุงเทพทั้งๆ
ที่เขาเป็นคนต่างจังหวัด บ้านเกิดของเขาอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี
เขาเล่าให้ผมฟังว่าที่บ้านมีที่ดินเป็นที่นาประมาณสิบไร่เป็นที่ของยายที่แบ่งให้กับแม่
เมื่อก่อนที่บ้านของเขามีอาชีพทำนา แต่เท่าที่เขาจำความได้ประมาณ ป. 3 หรือ ป. 4
ทางบ้านตัดสินใจเลิกทำนาเนื่องจากทำนาไม่ไหวและให้คนเช่าทำนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พ่อของเขามีอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างเลี้ยงครอบครัวเรื่อยมาและรายได้ส่วนหนึ่งได้จากการให้เช่าที่นา
พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ในปี 2539 เขากับภรรยาตัดสินใจเดินทางเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
การเข้ามาครั้งนั้นเป็นการเข้ามาในกรุงเทพเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา
เขามีเงินติดตัวมา 1500 บาท
ตอนนั้นเขาพยายามมาติดต่อหาพี่ชายที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพเพื่อจะได้ที่พัก
ด้วยความที่เขายังไม่รู้จักที่ทางในกรุงเทพ เขาตามหาพี่ชายไม่เจอ
แต่ถึงอย่างไรในวันนั้นเขาก็ต้องมีที่ซุกหัวนอน เงินที่ติดตัวมาถูกใช้ไปเหลือ 1200
บาท เขาเดินหาหอพักใกล้ ๆ กับนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง
เขาพบกับหอพักที่เขาคิดว่าจะเข้าพักแล้ว ตอนนั้นค่าห้อง อยู่ที่ราคา 1500 บาท
ต้องจ่ายล่วงหน้า 1 เดือน ค่ามัดจำ 1 เดือน รวมเป็น 3000 บาท แต่ในกระเป๋าของเขามีเงิน
1200 บาท เขาทำการต่อรองราคากับคนดูแลขอจ่าย 800 บาทก่อนได้หรือไม่
เขาบอกกับคนดูแลว่าหลังจากเขาพบกับพี่ชายเขาจะเอาเงินส่วนที่เหลือมาให้
เขาแจ้งให้คนดูแลหอพักทราบด้วยว่ามาจากต่างจังหวัดเพื่อเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
คนดูแลตกลงตามที่ขอและยังได้แนะนำให้เขาเข้าไปทำงานที่บริษัทผลิตขนมขบเคี้ยวยี่ห้อหนึ่ง
เขาใช้เวลากว่าสามวันจึงได้เจอกับพี่ชายที่อยู่ที่กรุงเทพ
พี่ชายเขาทำอาชีพขายอาหารอยู่หน้าโรงงานขนมขบเคี้ยวที่เขาจะเข้าไปทำงาน
ช่วงนั้นเป็นจังหวะดีที่โรงงานขาดคนงานพอดี เขาคิดว่าเขาและภรรยาโชคดีที่ได้งานทำ
ค่าแรงตอนนั้นเขาบอกว่าได้วันละ 97 บาท ช่วงแรก ๆ
เขากับภรรยาใช้เงินกันอย่างประหยัดแต่ละวันกินแต่ปลากระป๋อง กินอยู่เป็นเดือน ๆ
เพราะกลัวว่าเงินจะไม่พอใช้ เขาทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งนี้ประมาณ 4 ปี
หลังจากนั้นเขาย้ายที่ทำงานไปหลายที่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ระหว่างนี้เขากับภรรยามีลูกด้วยกัน
สองคนเป็นลูกสาวทั้งคู่ คนโตเป็นโรคหัวใจ ตอนนี้คนโตอายุ 12 ปี
และยังต้องรักษาโรคหัวใจอยู่ คนเล็กอายุ 6 ปีสุขภาพเเข็งแรงดี
ชีวิตของเขาดูเหมือนว่าจะไม่มีความพิเศษกว่าคนอื่น
ๆ เป็นชีวิตธรรมดาเหมือนกับหลาย ๆ คน และยังมีคนอื่น ๆ หลายคนอาจจะแย่กว่าเขาด้วยซ้ำไป
การได้รับรู้ชีวิตที่คนอาจมองว่าเป็นชีวิตแบบธรรมดาของใครคนหนึ่งมันอาจจะไม่สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครคนอื่น
ๆ
แต่สำหรับผมการที่ผมได้รู้จักวิถีชีวิตของคนคนหนึ่งมันเป็นประโยชน์และให้แนวคิดใหม่สำหรับผมมาก
ทุก ๆ ครั้งที่ผมได้นั่งคุยกับใคร ผมชอบที่จะถามถึงเป้าหมายในชีวิตของเขาเหล่านั้น
เช่นกันกับพี่คนนี้ ผมถามถึงเป้าหมายในชีวิตของเขา
เขามีเป้าหมายว่าวันหนึ่งเขาจะกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดของเขาแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
ผมมานั่งนึกดูว่า
ถ้าเจ้าหน้าที่ท่านนี้เขากลับไปทำงานที่บ้านแล้วทำงานในภาคเกษตรกรรมศึกษาและเรียนรู้การทำการเกษตรตามแบบที่ครอบครัวเขาเคยทำมาก่อน
ชีวิตตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไร อาจจะมีความสุขหรืออาจจะลำบากกกว่านี้หรือไม่
เพราะผมก็ไม่ทราบว่างานที่เขารักเป็นงานแบบไหน จริง ๆ
ผมอยากจะถามถึงสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดหรืองานที่เขาชอบมากที่สุด
แต่ผมคิดว่าคงได้คำตอบว่าเขาก็คงไม่รู้เหมือนกัน
ผมคิดว่าการทำงานที่ตนเองเป็นเจ้านายตนเองมันทำให้เรามีชีวิตที่เป็นอิสระมากกว่าคนที่ทำงานเป็นลูกจ้าง
ถ้าเป็นอย่างเจ้าหน้าที่ท่านนี้เขามีปัจจัยการผลิตที่ทำให้เขาเป็นผู้ผลิตและเป็นเจ้านายตัวเองได้แค่บางส่วน
ได้แก่ ผู้ประกอบการและที่ดิน แต่เรื่องแรงงาน กับทุน
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาสามารถหาได้หรือไม่
ผมคิดว่าการมีที่ดินที่บ้านเกิดของเราเป็นสิ่งที่โชคดีมาก ๆ
เพราะที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลผลิตต่าง ๆ
หากเราคิดว่าเราไม่อยากทำงานในเมืองอย่างน้อยการกลับไปพัฒนาที่ดินที่บ้านเกิดของตัวเองมันก็เป็นแนวทางหนึ่งที่ทำได้
และถ้าเป็นอย่างเจ้าหน้าที่ท่านนี้
หากเขาเลือกการทำการเกษตรเขาก็อาจมีข้าวปลาอาหารกินได้ตลอดที่หาได้จากที่ดินของเขา
ชีวิตเขาอาจจะมีความสุขกับการมีวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ๆ
ที่คนในเมืองอย่างพวกเราอิจฉาก็ได้ แต่ผมก็อาจคาดการณ์ผิด
เพราะไม่แน่ว่าตอนนี้ชีวิตของเขาอาจมีความสุขดีอยู่แล้วกับครอบครัวที่แสนอบอุ่นและงานที่เขาทำอยู่ตอนนี้
ผมคงไม่ตัดสินใครหรือให้เขาเลือกดำเนินชีวิตแบบไหน
การได้คุยครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าวิถีชีวิตของคน ๆ หนึ่งมันเป็นแนวทางให้กับคนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ดีทีเดียว