วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

9 สัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะ

    
    ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจทางรังสีวิทยาในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะ ผมขอนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์จากศูนย์สมอง และระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานีเกี่ยวกับสัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะ สำหรับใครที่ปวดหัวบ่อย ๆ ลองสังเกต 9 สัญญาณอันตรายที่จะกล่าวต่อไปนี้กันดูนะครับ เริ่มจาก

1.
โรค และอาการเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ปวดกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด มีประวัติโรคมะเร็ง การติดเชื้อ หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เอชไอวี ผู้ที่รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาละลายลิ่มเลือด ยาลดภูมิคุ้มกัน ประวัติเหล่านี้บ่งบอกถึงโรคติดเชื้อ การอักเสบ และการแพร่กระจายของมะเร็ง

2.
อาการแสดงผิดปกติทางระบบประสาท ได้แก่ พฤติกรรม หรือบุคลิกภาพเปลี่ยนจากเดิม แขนขาอ่อนแรง ชา หรือการรับรู้ประสาทสัมผัสผิดปกติ การมองเห็นหรือการได้ยินผิดปกติ

3.
อาการปวดศีรษะที่เริ่มต้นหลังตื่นนอน มักบ่งบอกถึงภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงกว่าปกติ

4.
อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นรุนแรงอย่างเฉียบพลัน ซึ่งมักใช้เวลาเป็นเสี้ยววินาที บ่งบอกถึงภาวะวิกฤตของหลอดเลือดสมอง ทั้งเส้นเลือดสมองตีบ และแตก

5.
อาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี แม้ว่าโรคปวดศีรษะปฐมภูมิหลาย ๆ ชนิดอาจเริ่มต้นครั้งแรกหลังอายุ 40-50 ปี แต่อายุที่มากขึ้นมักสัมพันธ์กับโรคอื่นๆ ที่อาจจะเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้ เช่น ก้อนเนื้องอก การติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบของหลอดเลือด ดังนั้นใครที่มีอาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี จึงควรได้รับการเอกซเรย์สมองทุกราย ถึงแม้ว่าจะไม่พบความผิดปกติจากการตรวจร่างกายทางระบบประสาท
โรคปวดศีรษะปฐมภูมินั้น ไม่ใช่อาการปวดศีรษะที่มีผลจากการรับยา แต่เป็นการปวดศีรษะจากความเครียด ไมเกรน อาการปวดหัวแบบผสม และปวดแบบชุด ๆ

6.
ลักษณะอาการปวดศีรษะต่างจากอาการปวดศีรษะที่เป็นประจำ โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีช่วงเวลาหายปวด หรือมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น

7.
อาการปวดศีรษะที่แย่ลงเมื่อไอจามหรือเบ่ง มักสัมพันธ์กับความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้นเช่นกัน

8.
อาการปวดศีรษะที่แย่ลง เมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง เช่น ปวดมากขึ้นเมื่อยืน นอน หรือเมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะและคอ อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบน้ำในโพรงสมองและไขสันหลัง หรือกระดูกต้นคอ

9.
อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นข้างเดียวตลอดเวลา หรือมักปวดบริเวณด้านหลังของศีรษะ แสดงถึงพยาธิสภาพที่อาจเกิดอยู่บริเวณนั้นของศีรษะ หากเป็นอาการปวดศีรษะทั่วไปมักมีการสลับข้างซ้ายขวาบ้าง แต่มักพบว่า จะปวดข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้าง
     ท่านใดที่มีอาการปวดศีรษะอยู่แล้ว หรือปวดศีรษะครั้งแรกแล้วมีสัญญาณอันตรายดังที่ได้กล่าวข้างต้น ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน ถึงแม้อาการของโรคปวดศีรษะจะไม่เป็นอันตราย แต่การรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ ทางที่ดีควรหมั่นสังเกตสัญญาณอันตราย หรือความผิดปกติที่เกิดขึ้น นั่นจะช่วยให้การวินิจฉัย และรักษาโรคได้ทันท่วงที

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

อาการปวดศีรษะ (17 ก.ย. 2555)


     ผมมีอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ เป็น ๆ หาย ๆ อยู่หลายปี ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นนักศึกษาเเพทย์ ตอนเเรกไม่ทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร เคยคิดเหมือนกันว่าตนเองจะเป็นโรคร้ายแรงอะไรหรือเปล่า ที่น่ากลัวโรคหนึ่งคือ เนื้องอกในสมอง แต่เมื่อลองพิจารณาสาเหตุของโรคและการสังเกตด้วยตัวเองจึงพบว่า ผมสายตาสั้น ทำให้ต้องเพ่งอย่างมากเพื่อจะมองให้ชัดในระยะไกลหรือตอนนั่งฟังบรรยายหรือการนำเสนองานวิชาการจนรู้สึกปวดศีรษะมากเวลาใช้สายตา ทั้ง ๆ ที่ผมเคยมองชัดเจนมาตลอดตั้งแต่เด็กจนอายุ 20 กว่าปี และครอบครัวก็ไม่มีใครสายตาสั้นมาก่อน สาเหตุหนึ่งผมคิดว่าเนื่องมาจากผมใช้สายตาจ้องจอคอมพิวเตอร์อย่างหนักทั้งทำงานและเล่นเกมส์ตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ กว่าจะได้มาตรวจสายตาเวลามันล่วงเลยมาถึงตอนทำงานแล้วในปีที่ 3 มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วผมขับรถชนด้านข้างของรถกระบะที่วิ่งผ่านสี่แยกในโรงพยาบาล โดยที่ผมไม่ทันได้มอง ผมคิดว่าสาเหตุคงเป็นจากเรื่องสายตาสั้นด้วยอย่างแน่นอน ตอนนั้นต้องใช้เวลาซ่อมรถตัวเองประมาณ 1 เดือน และต้องซ่อมให้กับรถกระบะคันนั้นอีกด้วย ตั้งแต่วันนั้นทำให้ผมเริ่มสนใจกับสายตาของตัวเองมากขึ้น ผมจึงไปวัดสายตาและพบว่าสายตาสั้นจำเป็นต้องตัดแว่นสายตา หลังจากใส่แว่นตาใหม่ผมมองโลกรอบ ๆ กายมันช่างคมชัดเสียจริงราวกับว่าเป็นโลกใหม่ที่แสนจะสดใส อาการปวดศีรษะที่ผมเป็นอยู่มันหายไปโดยปริยาย ช่วงปีสองปีก่อนผมมีอาการปวดศีรษะอีกเล็กน้อย ผมพบว่าสายตาผมสั้นลงจึงต้องเปลี่ยนแว่นตาใหม่ อาการปวดจึงหายไป อาจจะมีอาการปวดบ้างเวลานอนดึกแต่ต้องตื่นเช้า แต่พอได้นอนเต็มที่อาการจะดีขึ้น หรือเวลาอยู่ในบริเวณที่มีอากาศร้อน หรือเวลาไม่สบายแต่เมื่อสาเหตุเหล่านั้นหายไปอาการจะดีขึ้นได้เอง
     ผมเล่าเรื่องอาการปวดศีรษะของตัวเองเนื่องจากเรื่องเล่าต่อไปจากนี้จะเป็นเรื่องของอาการปวดศีรษะที่ผมคิดว่าคนที่อ่านเรื่องของผมต้องเคยมีประสบการณ์ปวดศีรษะมาก่อนอย่างแน่นอน อาการนี้เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า ปวดหัว คนไข้ที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดศีรษะส่วนใหญ่เนื่องมาจากอาการปวดที่เป็นอยู่ไม่ดีขึ้นเมื่อทำการพักหรือรับประทานยาแก้ปวดหรือบางคนอาจมีอาการปวดมากขึ้นมาทันทีและมีความทุกข์ทรมานจนทนไม่ไหว หลายคนมีความเป็นกังวลมากกับอาการปวดของตนเองกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง อย่างเช่น เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมองอย่างที่ผมกล่าวมา ผมคิดว่า อาการกังวลของเขาเหล่านั้นไม่ผิดเสียทีเดียว บ่อยครั้งผมพบว่าเป็นอย่างที่คนไข้สงสัย และทำให้หมอที่ตรวจถึงกับเสียความมั่นใจเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามมีโรคที่เป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่พบบ่อยกว่าโรคดังกล่าวมาก เรามาดูกันว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง
     อาการปวดศีรษะเกิดจากการรับรู้ความเจ็บปวดของสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับความรู้สึก ซึ่งมีการรับสัญญานความเจ็บปวดจากบริเวณต่าง ๆ ของศีรษะผ่านทางเส้นประสาทรับความรู้สึก ดังนั้นเวลาเกิดความเจ็บป่วยหรือเกิดปัญหาขึ้นกับอวัยวะที่เป็นส่วนประกอบของศีรษะหรือหัวของเรา สัญญาณความเจ็บปวดที่ถูกส่งไปยังสมองจะได้รับการแปลความหมายเป็นความเจ็บปวดตามบริเวณต่าง ๆ เหล่านั้น ซึ่งอาจจะมีการแปลความหมายเป็นอาการปวดบริเวณใกล้เคียงหรือเป็นลักษณะอาการปวดร้าวได้เช่นกัน ดังนั้นเวลาหมอที่ตรวจจะให้การวินิจฉัยโรคส่วนหนึ่งจะคิดถึงสาเหตุตามอวัยวะของศีรษะที่คนไข้ปวด เต่ยังมีการวินิจฉัยที่หมออาจคิดถึงโรคตามกลุ่มโรคที่เป็นไปได้เช่น เนื้องอกของอวัยวะบริเวณศีรษะ อุบัติเหตุที่ศีรษะ การติดเชื้อ โรคหลอดเลือดสมอง และ ความผิดปกติของเลือด เป็นต้น
     โรคที่พบบ่อยในคนไข้ที่มาด้วยอาการปวดศีรษะร้อยละ 80-90 พบว่าเกิดจากโรคปวดศีรษะจากความเครียด (Tension Headache) อาการปวดศีรษะจากความเครียด เป็นภาวะที่พบได้บ่อยมากในคนทั่วไป โดยมีสาเหตุมาจากความเครียด พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งสาเหตุมีหลายอย่าง เช่น ทำงานหนัก ใช้สมองมาก อารมณ์เครียด กังวลใจหรือ นอนหลับไม่เพียงพอ เป็นต้น ทำให้มีอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อตรงต้นคอและรอบ ๆ ศีรษะ และเกิดอาการปวดศีรษะตามมา แต่โรคนี้หมอที่ตรวจควรต้องตรวจหาว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอื่น ๆ ออกไปก่อนจึงจะให้การวินิจฉัยโรคนี้ได้ ด้วยเหตุที่โรคนี้เป็นโรคที่ไม่รุนแรง เมื่อได้รับการพักผ่อน หรือรับประทานยาลดอาการปวด อาการจะดีขึ้น แม้ว่าโรคนี้จะพบบ่อยและเป็นโรคที่ถูกวินิจฉัยมากที่สุด แต่ยังมีโรคที่เหลือที่พบน้อยกว่ามากและเป็นโรคที่รุนแรงจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจทางรังสีวิทยาตามข้อบ่งชี้ จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยในการวินิจฉัยเช่นกัน
     ในส่วนการตรวจร่างกายคนไข้ที่มาด้วยอาการปวดศีรษะ การตรวจที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการตรวจระบบประสาท ซึ่งมีทั้งการตรวจกำลังของกล้ามเนื้อ การรับความรู้สึก การตรวจปฏิกิริยาการสะท้อนกลับหรือที่เรียกว่า รีเฟล็กซ์ และมีการตรวจร่างกายของระบบประสาทในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากตามอาการของโรคตามที่หมอที่ตรวจสงสัย ผมคิดว่าการตรวจร่างกายของหมอกับคนไข้ที่มาด้วยอาการปวดศีรษะหลายครั้งยังขาดการตรวจระบบประสาทที่สำคัญ หลายโรคสามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจระบบประสาทอย่างละเอียด ด้วยเหตุผลของจำนวนคนไข้ที่มากในโรงพยาบาลของรัฐทำให้การระบบประสาทขาดหายไปและเนื่องจากการตรวจร่างกายในระบบนี้จะต้องใช้เวลาในการตรวจที่นานจึงทำให้บางครั้งอาจเกิดการวินิจฉัยที่ไม่ตรงกับโรคที่ผู้ป่วยเป็น ในโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะจะถูกตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางโรคระบบประสาทและสมอง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการวินิจฉัยโรคและการตรวจร่างกายของระบบประสาท นอกจากจากนี้ยังมีเวลาในการตรวจมากกว่าแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ ทำให้คนไข้กลุ่มนี้มีโอกาสในการค้นพบโรคที่ตนเองเป็นได้มากกว่าแต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ผมคิดว่าการตรวจที่มีข้อจำกัดเป็นอุปสรรคสำคัญในการให้การวินิจฉัยโรค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา เรื่องประสบการณ์ของหมอหรือเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่องก็ตาม แต่การจะแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องมีจำนวนหมอที่ทำการตรวจรักษาเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งขณะนี้เป็นเรื่องยากที่จะมีการผลิตแพทย์เพิ่มด้วยเหตุผลหลายประการ
     แม้ว่าหมอที่ตรวจจะพบกับอุปสรรคหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานหนัก มีเวลาตรวจคนไข้แต่ละคนน้อย แต่หมอที่ตรวจทุกคนมีความตั้งใจดีและหวังเป็นอย่างยิ่งที่อยากจะให้คนไข้ของตนเองหายจากโรค สิ่งที่ทำให้กับคนไข้ ส่วนหนึ่งคืองานที่ต้องทำ อีกส่วนหนึ่งเป็นความรู้สึกที่อยากจะมอบสิ่งดี ๆ ให้กับใคร ๆ หลาย ๆ คน โดยที่หมอจะได้รับการเรียกว่าเป็น หมอเจ้าของไข้ แม้ว่าหมอคนนั้นจะความรู้น้อย ด้อยประสบการณ์ เวลาตรวจไม่ค่อยมี แต่สิ่งที่มีให้มันคือความปรารถนาดีต่อคนไข้เสมอ ผมคิดว่า หมอที่ตรวจทุกคนมีความภาคภูมิใจในการช่วยเหลือชีวิตคน สิ่งนี้มันอยู่ในความรู้สึกของพวกเราตลอดมา และมันเป็นสิ่งที่จะทำให้พวกเราทำสิ่งดี ๆ ให้กับคนไข้ตลอดไป
     ยังมีเรื่องการตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์และการตรวจทางรังสีวิทยา ไว้ผมจะเล่าให้ฟังครั้งต่อไปนะครับ

ภารกิจเปลี่ยนวันตายเป็นวันเกิด (4 ก.ย. 2555)

     วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ 31 ของผม จะว่าไปแล้วมันก็เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมาที่ผมต้องผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต และวันนี้มันก็ดำเนินไปเหมือนวันคล้ายวันเกิดของผมเมื่อปีก่อน ๆ สิ่งที่แตกต่างสำคัญคือ ผมแก่ขึ้นอีกหนึ่งปีและการที่ผมนั่งตอบขอบคุณทุกคำอวยพรที่ส่งมาให้ในขณะที่ปีก่อน ๆ ผมนั่งดูเฉย ๆ เพราะเมื่อเข้ามาดูตอนดึก ๆ มันมีเยอะมาก เลยโพสขอบคุณแบบเหมารวม ผมรู้สึกซาบซึ้งใจที่ยังมีคนนึกถึงผมอยู่และส่งความรู้สึกดี ๆ มาให้ ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนจากใจจริง
     วันนี้ผมนั่งนึกถึงอดีตของตัวเองตั้งแต่ผมยังเด็กจนถึงปัจจุบัน มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดถึงมันเมื่อไหร่ผมมักจะมีความรู้สึกขนลุกขึ้นมาทุกที มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานของผม มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีชีวิตของคนที่กำลังจะตาย ผมเคยช่วยชีวิตคนที่กำลังจะตายนั่นคือหัวใจของเขาหยุดเต้นไปแล้วและสุดท้ายเขากลับมามีชีวิตต่อ เรื่องราวของคนที่มีชีวิตรอดกลับมาที่ผมยังจำแม่นยำส่วนใหญ่เป็นคนที่กลับมาดำเนินชีวิตต่อได้เหมือนอย่างคนปกติ บางคนผมจำเรื่องราวของเขาได้ไม่หมดแต่ก็พอจำได้คร่าว ๆ คนหนึ่งที่ผมจำได้แม่น เหตุการณ์เกิดเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน เขาเป็นผู้ป่วยผู้ชายอายุประมาณ 30-40 ปี มีอาการหมดสติต่อหน้าต่อตาหัวใจเขาหยุดเต้น ผมและแพทย์เวรห้องฉุกเฉินช่วยกันปั้มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ และช่วยช็อคด้วยไฟฟ้าตามแนวทางการรักษา ณ ขณะนั้น เขาถูกช็อคด้วยไฟฟ้าไปทั้งหมดน่าจะประมาณ 5-6 ครั้ง และได้ยากระตุ้นการเต้นของหัวใจและยารักษาอื่น ๆ สุดท้ายหัวใจเขากลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง เขาถูกนำส่งไปรักษาที่หอผู้ป่วยหนักโรคหัวใจและได้รับการรักษาต่อโดยแพทย์โรคหัวใจ วันต่อมาเขารู้ตัวรู้เรื่องดี และเขาอยู่โรงพยาบาลอีกไม่กี่วัน เขาสามารถกลับบ้านได้และดำเนินชีวิตเหมือนอย่างคนปกติทั้งที่ครั้งหนึ่งมัจจุราชเกือบนำตัวเขาไปแล้ว
     อีกคนเป็นผู้ป่วยผู้ชายอายุประมาณ 50 กว่าปีมาด้วยเรื่องหมดสติและมีหัวใจหยุดเต้นเช่นกัน คนนี้ถูกช่วยปั้มหัวใจนานกว่าสองชั่วโมงเนื่องจากยังมีสัญญาณของคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่ ในขณะนั้นมีแพทย์โรคหัวใจอยู่ด้วย ท่านมีความอดทน สู้เต็มที่และช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สุดท้ายหัวใจเขากลับมาเต้นได้เอง หลังจากให้การรักษาในหอผู้ป่วยหนักเขารู้ตัวและรู้เรื่องพอจำอะไรได้บ้างแต่ยังมีอาการหลงลืมอยู่
     อีกคนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่มาด้วยอาการหมดสติเช่นเดียวกันและหัวใจหยุดเต้น ผมจำไม่ได้ว่าเขาอายุประมาณเท่าไหร่ คนนี้ถูกช็อคด้วยไฟฟ้าไปประมาณ 20 กว่าครั้ง สุดท้ายหัวใจเขากลับมาเต้นเองและหลังการรักษาเขากลับมามีชีวิตอย่างคนทั่วไปได้อีก
     อีกคนหนึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นอายุประมาณ 17-18 ปี ถูกยิงที่หน้าอก มาที่ห้องฉุกเฉินยังพอรู้เรื่องบ้างแต่หน้าซีดและหายใจอ่อนแรงมาก ขณะกำลังจะให้การช่วยเหลือ หัวใจเขาหยุดเต้นไปผมและแพทย์เวรห้องฉุกเฉินในวันนั้นช่วยกันปั้มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ และให้ยากระตุ้นหัวใจ โชคดีของเด็กคนนี้ที่วันนั้นมีแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรมชั้นปีที่ 3 อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แพทย์ท่านนั้นมาร่วมกันกู้ชีวิต ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลือโดยการผ่าตัดเปิดหน้าอกโดยทันทีที่ห้องฉุกเฉินจากแพทย์แผนกศัลยกรรม ผมเข้าช่วยเหลือในการผ่าตัดครั้งนี้ การผ่าตัดเปิดหน้าอกจะเห็นถึงเนื้อปอดและหัวใจ พวกเราใช้มือช่วยบีบหัวใจโดยตรง แพทย์ท่านนั้นช่วยเย็บซ่อมและผูกเส้นเลือดในเนื้อปอดที่มีการฉีกขาดและมีเลือดออก การช่วยเหลือเป็นไปด้วยดี หัวใจผู้ป่วยกลับมาเต้นเองได้อีกครั้ง การช่วยเหลือใช้เวลาไม่น่าจะเกินสิบห้านาทีหลังจากนั้นผู้ป่วยถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ผู้ป่วยนอนอยู่โรงพยายาลอีกไม่นานและได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน กลับไปดำเนินชีวิตตามปกติ
     ล่าสุดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อวานนี้เขาถูกส่งลงมาจากหอผู้ป่วยในเพื่อมาทำหัตการณ์ที่ห้องฉุกเฉิน พอผมได้เห็นหน้าเขาผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที คนนี้เป็นผู้ป่วยชายอายุ 50 กว่าปี ประสบอุบัติเหตุถูกไฟฟ้าดูดขณะบังคับรถเครนเนื่องจากเครนไปเกี่ยวสายไฟที่ขาดอยู่ เขาถูกนำส่งมาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการหมดสติและหัวใจหยุดเต้นมีแผลไหม้ที่มือและเท้า เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ประมาณสิบนาที ผมช่วยกู้ชีวิตเขาขึ้นมา เขาได้รับการปั้มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ ได้รับยากระตุ้นหัวใจและยาอื่นอีกหลายตัว เขาถูกช็อคด้วยไฟฟ้าทั้งหมดสามครั้ง การช่วยครั้งนี้สำเร็จด้วยดี หัวใจของเขากลับมาเต้นเองได้อีกครั้ง เขาถูกนำตัวไปรักษาต่อที่หอผู้ป่วยหนัก แพทย์ประจำหอผู้ป่วยดูแลรักษาเขาต่อ เขาถูกรักษาโดยการทำให้อุณหภูมิของร่างกายต่ำกว่าปกติและทำให้อยู่ในภาวะโคม่าอยู่ประมาณ 1 วัน หลังจากนั้น ทำให้อุณหภูมิร่างกายกลับมาอยู่ในภาวะปกติและหยุดยาที่ทำให้เขาอยู่ในภาวะโคม่า หลังจากนั้นอีกสองวันเขารู้สึกตัวดี รู้เรื่อง จำเรื่องราวของตัวเขาเองได้ และได้รับการถอดท่อช่วยหายใจ หลังจากอาการดีขึ้นเขาถูกย้ายขึ้นไปรักษาต่อที่หอผู้ป่วยใน ตอนนี้เขายังมีอาการอ่อนแรงช่วงล่างของร่างกาย และยังมีแผลไฟไหม้ที่มือและเท้าที่ยังต้องรักษาต่อไปอีกนาน เมื่อวานที่ผมเห็นเขาผมเข้าไปทักทายและถามไถ่อาการ ด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นและขนลุก ผมคิดว่าเขาคงไม่ทราบว่าใครบ้างที่ได้ช่วยเขาตอนที่มาที่ห้องฉุกเฉิน ไม่มีใครที่ต้องการแสดงตนในเรื่องนี้ ทุกคนช่วยด้วยความเต็มใจและหวังว่าคนที่ช่วยจะกลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง ผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไรความรู้สึกแบบเดิม ๆ มันเข้ามาทุกที
     ผมคิดว่าเรื่องราวการทำงานของผมหลายครั้งมันเป็นการทำให้คนที่กำลังจะตายได้เกิดใหม่อีกครั้ง วันที่เขาได้มีชีวิตใหม่มันอาจจะเป็นวันตายของเขามาก่อนแต่มันกลับกลายเป็นวันเกิดของเขาอีกวันหนึ่ง งานของพวกผมจึงเป็นงานที่พยายามเปลี่ยนวันตายของคนคนหนึ่งให้กลับมาเป็นวันเกิดอีกครั้ง มันจะเป็นการฝืนกฎธรรมชาติหรือเปล่า อันนี้ผมไม่รู้ครับ

ทางเดินชีวิตกับธุรกิจเครือข่ายขายตรง (3 ก.ย. 2555)


     สัปดาห์ก่อนผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนที่ผมเคยเล่าให้ฟังครั้งก่อน เรื่องหลัก ๆ ที่คุยกันเป็นเรื่องที่ผมคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เพื่อนผมชวนทีมงานที่ร่วมทำธุรกิจกับเขาและพี่ที่ดูแลธุรกิจระดับร้อยล้านและมีทรัพย์สินระดับร้อยล้านที่เขาร่วมงานมาด้วย เราคุยถึงการทำธุรกิจเครือข่ายขายตรงของบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง ผมนั่งฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เพื่อนผมและพี่ที่เขาร่วมงานด้วยเล่าให้ฟัง ผมคิดว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดีธุรกิจหนึ่งที่สามารถทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินได้เช่นกัน ผมทราบว่ามีคนที่ตั้งใจทำธุรกิจนี้แล้วประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยทีเดียวและเขามีรายได้ไปตลอดแม้ว่าเขาจะหยุดทำธุรกิจแล้วก็ตาม และธุรกิจนี้ยังเป็นมรดกให้กับทายาทที่รับช่วงการทำธุรกิจต่อได้อีกด้วย ผมพิจารณารูปแบบธุรกิจนี้แล้ว ผมเห็นว่ามันมีความมั่นคงในระดับที่ดี จริง ๆ ผมเคยฟังเรื่องราของธุรกิจนี้มาก่อนแต่ครั้งนั้นผมไม่ได้ตัดสินใจร่วมทำธุรกิจ ครั้งนี้ก็เช่นกันผมตัดสินใจไม่ร่วมทำธุรกิจกับเพื่อนผม
     ผมคิดว่าทางเดินไปสู่ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครั้งเราอาจจะมองว่าทางเดินทางหนึ่งนั้นเป็นทางที่นำเราไปสู่ความสำเร็จได้และเป็นทางที่มีคนหลายคนเดินตามทางนั้นแล้วเราเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากมาย แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทางเดินนั้นมันเป็นทางที่เหมาะสำหรับเรา บางคนอาจจะบอกว่าเราก็ต้องลองเดินไปตามทางนั้นก่อนแล้วหากมันเป็นทางที่ "ใช่" โอกาสของความสำเร็จของเราจะอยู่อีกไม่ไกล ผมคิดว่าความเห็นนี้มีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ที่เราอาจจะลองทำในสิ่งที่คนอื่นทำเเล้วประสบความสำเร็จเพราะมันเห็นผลอยู่แล้วและยังมีแนวทางให้เราเดินตามอีกด้วย แต่ในบางครั้งการที่เรารู้จักตัวเองตั้งแต่แรกแล้วสามารถหาทางเดินไปสู่ความสำเร็จที่เป็นทางของเราเองและเป็นสิ่งที่เราชอบด้วย ผมเห็นว่ามันจะทำให้เราทำมันได้ดีด้วยเหตุที่เราชอบมันอยู่เป็นทุนเดิมและมันจะเป็นแรงจูงใจสำคัญในการทำให้สำเร็จ
     ธุรกิจที่เพื่อนผมทำอยู่ก็เช่นเดียวกัน มันเป็นธุรกิจที่ดีในความเห็นผม แต่มันไม่ใช่ตัวตนของผม โดยส่วนตัวผมมักจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวผมด้วยเหตุที่ผมจะทำมันได้ไม่ดี การพยายามทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบไม่ถนัดมันอาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้นาน บางคนทนทำมันจนกลายเป็นสิ่งที่ชอบและทำได้สำเร็จ ผมชื่นชมคนเหล่านั้นที่เขามีความพยายามสูง แต่นั่นคงจะไม่ใช่ตัวผม ผมศึกษาทางเดินไปสู่ความสำเร็จในรูปแบบของผม ในทางที่ผมเลือก ตอนนี้มันกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี ผมคิดว่ามันเป็นทางที่ "ใช่" สำหรับผมแล้ว ผมจึงทุ่มเทกับมันตามความรู้ความสามารถที่ผมมี
     ธุรกิจที่เพื่อนผมทำอยู่มีการแนะนำโดยมีแรงจูงใจสำคัญหลายอย่าง ที่ผมพอสรุปประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งคือความอยากของคน ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อย่างเช่นคนที่ประสบความสำเร็จมีหรือได้รับมาก่อนแล้วและมีแนวคิดว่ามันคือความสุขในชีวิต สำหรับตัวผมแล้วผมไม่ได้คิดว่าการมีทรัพย์สินมากมายเหมือนคนอื่นหรือมีชีวิตที่สะดวกสบายเป็นความสุขทั้งหมดของชีวิตผม มันอาจจะจริงสำหรับหลาย ๆ คน บางครั้งการที่เราได้ทำอะไรที่ยากลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยแต่สิ่งที่ทำนั้นมันกลับเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้กับใครสักคนหรือเป็นประโยชน์กับส่วนรวมแม้มันจะไม่ได้มีราคาค่างวดหรือได้ค่าแรงมาก็ตามแต่มันกลับทำให้เรามีความสุขมากกว่าความสะดวกสบายของเราเสียอีก นี่จึงเป็นแนวคิดหนึ่งที่ผมคิดว่าแต่ละคนคงมีความเห็นไม่เหมือนกัน
    โดยส่วนตัวถึงแม้ผมไม่ได้คิดว่าการมีทรัพย์สินมากมายทำให้เรามีความสุขกับทุกเรื่องในชีวิต แต่การมีทรัพย์สินในระดับที่มีอิสรภาพทางการเงินมันก็ทำให้เราทำอะไรที่เป็นความสุขสำหรับเราได้ง่ายกว่าคนทั่ว ๆ ไป สำหรับตัวผมการได้ใช้เงินจำนวนมากไม่ใช่ความสุขในชีวิต แต่การได้เก็บเงิน ออมเงิน หรือการบริหารเงินออมของผมให้มันงอกเงยมันกลับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผมพอ ๆ กับการสร้างรายได้ประจำให้เพิ่มขึ้น นี่เป็นแนวคิดในเรื่องความสุขในชีวิตผมที่มันไม่ได้ขึ้นกับการได้ใช้เงินหรือมีเงินจำนวนมากเพื่อความสะดวกสบายเหมือนกับที่หลายคนคิดและต้องการ
     การพูดคุยกันครั้งนี้ยาวนานกว่าสามชั่วโมง สุดท้ายผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่งที่เป็นอัตชีวประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจนี้มาอ่าน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบและเข้าใจตัวธุรกิจดีขึ้น ผมได้คุยกับเพื่อนผมทางโทรศัพท์อีกครั้งโดยย้ำถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่ของผม และความตั้งใจของผมที่แค่อยากจะรับรู้และเข้าใจธุรกิจนี้และให้โอกาสเพื่อนผมทำในสิ่งที่เขาอยากทำ เขาชวนผมไปร่วมกิจกรรมและการประชุมใหญ่ที่กำลังจะมาถึง อนาคตต่อไปจากนี้ผมจะไปร่วมกิจกรรมกับเขาหรือไม่ พวกเรา ๆ คงคาดเดากันได้ นะครับ

เพื่อนแพทย์เชียงใหม่กับเป้าหมายในชีวิต (24 ส.ค. 2555)



     ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เขาเป็นเพื่อนที่เรียนจบแพทย์เชียงใหม่รุ่นเดียวกัน สมัยเรียนเรารู้จักพูดคุยกันไม่บ่อยนัก ไม่ถึงกับเป็นเพื่อนสนิท สมัยนั้นพวกเราคงไม่คิดว่าอนาคตของพวกเราจะเป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ผมคิดว่าตอนนั้นพวกเราคิดจะเป็นแพทย์ที่จบมาทำงานในโรงพยาบาลเรียนต่อเฉพาะทางตามสาขาวิชาที่ตนเองสนใจ เป้าหมายคือเป็นแพทย์เฉพาะทางและทำงานเฉพาะด้านด้วยเหตุผลหลายอย่าง ที่สำคัญคือความเชื่อถือและความมั่นใจของผู้ป่วยและแพทย์ด้วยกันที่ขอคำปรึกษา
     ชีวิตการทำงานของแต่ละคนมันเดินทางมาถึงจุด ๆ หนึ่งที่ทำให้เราต้องตั้งเป้าหมายใหม่ด้วยเหตุผลของการรับรู้เรื่องราวที่อยู่นอกเหนือตำราหลาย ๆ เรื่อง เหตุผลของการสร้างครอบครัว เหตุผลของความต้องการความมั่นคงและมั่งคั่งในชีวิต ทำให้แต่ละคนเลือกที่จะทำงานเพื่อจะให้ตนเองเข้าสู่เป้าหมายใหม่ได้เร็วขึ้น ผมเป็นคนหนึ่งที่เปลี่ยนเป้าหมายของตนเองจากที่เคยจะเรียนต่อเฉพาะทางให้ถึงที่สุดเท่าที่มีการจัดหลักสูตรให้เรียนและทำงานวิชาการจนเป็นที่ยอมรับของสังคม เป้าหมายใหม่ของผมที่มันเปลี่ยนไปกลายเป็น การมีอิสรภาพทางการเงิน เนื่องจากผมเห็นว่า การที่เราจะมีเป้าหมายทั้งสองอย่างร่วมกันมันทำให้ผมเข้าสู่การมีอิสรภาพทางการเงินไม่เร็วนัก
     ผมคิดว่าเพื่อนของผมคนนี้ก็มีความคิดไม่ต่างกัน เขาทำงานในคลินิกแห่งหนึ่งที่ได้รายได้สูง มีการทำธุรกิจเครือข่ายขายตรงของบริษัทหนึ่งและเขาทำได้ดีเสียด้วย เขาเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่จากอดีตเป็นลูกชาวนา เรียนผู้ช่วยพยาบาล และมีความพยายามเรียนต่อจนจบพยาบาล ชีวิตของพี่คนนี้สู้ทนมาตลอด ปัจจุบันเขาควบคุมตูแลธุรกิจระดับร้อยล้าน และเพื่อนผมก็ได้ร่วมงานกับพี่คนนี้ พี่คนนี้เป็นคนหนึ่งที่มีเป้าหมายในชีวิตและเขาทำตามแผนการของเขาได้ดีมากด้วยเช่นเดียวกัน เป้าหมายของเพื่อนผมผมคิดว่าต้องมีเรื่องการมีอิสรภาพทางการเงินด้วยเช่นกัน และเหตุผลของเรื่องครอบครัวที่เขาต้องการสร้างครอบครัวให้มีความมั่นคง และให้ลูกของเขาได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดในโรงเรียนนานาชาติ เป้าหมายของเขาตอนนี้มันกำลังเดินไปตามแผนการที่เขาตั้งไว้ นอกจากงานและธุรกิจที่เขาทำอยู่เขายังมีการลงทุนในทรัพย์สินอีกหลายประเภทที่ไม่ต่างจากที่ผมลงทุน
     ผมคิดว่าแนวคิดเราคล้าย ๆ กัน เราจึงหาโอกาสที่จะคุยกันสักวันหนึ่ง จริง ๆ ผมพอจะรู้วัตถุประสงค์ที่เขาอยากคุยกับผมแต่ยังไงเสียการได้พูดคุยกันมันเป็นโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกัน สิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้มันคือเรื่องการตั้งเป้าหมายในชีวิต เป้าหมายของแต่ละคนคงแตกต่างกันออกไป หลายคนมีเป้าหมายเหมือนกับผมซึ่งมันทำให้พวกเราได้เจอกันและคุยด้วยความเข้าใจด้วยเหตุผลที่เราต้องการทำเป้าหมายของเราให้เป็นจริง แต่ไม่ว่าใครจะมีเป้าหมายอะไรใดๆก็ตาม การได้ทำตามแผนการที่วางไว้เพื่อไปสู่เป้าหมายของตนเองมันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการกำหนดเป้าหมายโดยไม่มีการวางแผนใดๆ ทำให้การประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราต้องการตามเป้าหมายคงเป็นไปได้ยาก ใครที่มีเป้าหมายแล้วขอให้กำหนดแผนการไปสู่เป้าหมายและทำตามแผนการนั้นด้วยความมานะอดทนแล้วเราจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย นะครับ

ชีวิตครูสอนคณิตศาสตร์ (20 ส.ค. 2555)


     วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ เรามีนัดคุยเรื่องการเริ่มต้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนคนนี้ตั้งใจเดินทางมาจากแพร่เพื่อมาคุยเรื่องนี้กับผมโดยเฉพาะ ผมเริ่มเขียนในขณะที่กำลังนั่งคุยกับเขาอยู่ด้วย เขาบอกผมว่าให้บอกว่า เขาเป็นสาวพรหมจันทร์ แต่เพศสภาพของเขา คือ เพศชาย ผมนั่งหัวเราะและทำตามที่เขาขอ เพื่อนคนนี้เป็นคนอัธยาศัยดีเป็นคนที่ให้กำลังใจเพื่อนได้ดีมาก ผมนั่งคุยกับเขาผมมีแต่เรื่องสนุกสนานและทำให้ผมหัวเราะตลอดทั้ง ๆ ที่เรื่องที่คุยกันมันเคยเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเขาหรือเพื่อน ๆ ก็ตาม
     ผมรู้สึกสบายใจในหลาย ๆ เรื่องที่ผมเคยมีความกังวลใจมาก่อน เรื่องชีวิตของเพื่อนคนนี้น่าสนใจไม่น้อย เขาบอกผมว่าชีวิตเขาเริ่มต้นจากศูนย์ ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่ส่งเสียเล่าเรียนส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งก็ได้จากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา เขามีความตั้งใจเรียนและสามารถเรียนจบปริญญาโทและตอนนี้ก็กำลังใช้ทุนให้กับหน่วยงานที่ส่งเขามาเรียน เขาพยายามช่วยเหลือทางบ้านที่ยังมีหนี้สินที่ต้องจัดการและดูแลพ่อแม่โดยไม่ให้ท่านทำงานอีกแล้ว เขาพยายามออมเงินเพื่อการลงทุนและสร้างกิจการของตนเอง ตอนนี้เขาเปิดสถาบันกวดวิชามีการกวดวิชาเกือบทุกวิชามีรูปแบบการแนะนำและช่วยเหลือก่อนเข้ามหาวิทยาลัยกับนักเรียนที่มาเรียนด้วย มีการทำการตลาดที่น่าสนใจ ผมนั่งฟังแล้วเห็นโอกาสของการเติบโตของกิจการเขาที่ยังไม่มีใครทำแบบเขาในจังหวัด และตอนนี้กิจการมันไปได้ดีจริง ๆ มีการขยายห้องเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ผมเห็นความตั้งใจของเขาที่ต้องการทำความฝันของเขาให้เป็นจริง เขาทำงานไม่มีวันหยุดมานานหลายปี เขารู้สึกเหนื่อยแต่ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อครอบครัวของเขาเท่านั้น ความกตัญญูที่ผมได้รับรู้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้บอกเขาให้ทราบ เป้าหมายหลักของเขาตอนนี้คือต้องการเพียงแค่ชำระหนี้ของครอบครัวให้หมด
     ผมนั่งนึกถึงชีวิตของผม ในหลายเรื่องมันไม่ได้ต่างจากเพื่อนผมแต่เส้นทางการทำงานเราอาจจะต่างกัน ความคิดและความตั้งใจของเขามันคล้าย ๆ กับของผมแต่เขาอาจจะยังไม่ได้รับคำแนะนำและศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจังเหมือนอย่างที่ผมทำอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตั้งใจมาหาผมโดยเฉพาะ เราคุยกันก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน และเขาบอกว่าจะมาผมในวันนี้ มันเป็นการนัดที่ถือว่าเร็วมากสำหรับผม ผมเห็นความตั้งใจอยากเรียนรู้ของเขาตลอดเวลาที่เราคุยกัน เราคุยกันอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ผมพูดสรุปเนื้อหาที่สำคัญแบบรวบรัดเพื่อให้เขาไปศึกษาต่อ เนื่องจากผมต้องรีบไปส่งเขาขึ้นรถกลับบ้านด้วย
     ผมรู้สึกยินดีกับการได้พบเจอและพูดคุยกันกับเพื่อนผมครั้งนี้มาก ส่วนหนึ่งผมรู้สึกว่าผมได้ให้สิ่งมีประโยชน์กับชีวิตคนคนหนึ่งที่มันจะเป็นแนวทางให้เขาสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนและสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างที่ผมตั้งใจอยากให้ความรู้กับใคร ๆ ที่เขาใส่ใจกับเรื่องนี้ อีกส่วนหนึ่งผมเป็นฝ่ายรับความรู้สึกดี ๆ กำลังใจดี ๆ และแนวคิดดี ๆ ในการดำเนินชีวิตจากเพื่อนคนนี้ ผมคิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะประสบความสำเร็จอย่างที่เขาตั้งใจตามความมุ่งมั่นที่เขาทำให้ผมเห็นในวันนี้ วันดี ๆ อีกหนึ่งวันหนึ่งของผมได้ผ่านไป วันต่อไปผมจะพยายามทำให้มันเป็นวันดี ๆ อย่างนี้อีกแม้มันไม่ดีมากเท่ากับวันนี้แต่คงไม่ถึงกับเลวร้าย ต้องคอยดูกันต่อไป

หมอประจำห้องฉุกเฉิน (17 ส.ค. 2555)


     ผมเป็นหมอ ER หรือก็คือ หมอประจำห้องฉุกเฉิน เรียนและทำงานอยู่ในห้องฉุกเฉินมาเกือบจะครบ 7 ปีแล้ว ชีวิตและประสบการณ์การทำงาน ได้พบเจอกับเหตุการณ์ความเป็นความตายมากมาย หลายครั้ง รู้สึกภาคภูมิใจที่ทำให้คนไข้ที่รักษารอดชีวิตด้วยความรู้ทางวิชาการที่เราเรียนมาอย่างตั้งใจ โดยหากไม่รู้หรือรักษาอีกทางคนไข้อาจเสียชีวิตได้ แต่หลายครั้งผมก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้คนนั้นได้ด้วยตัวโรคของคนไข้เองหรือด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ความรู้สึกในใจแต่ละครั้งหลังจากที่ทำการรักษาอย่างเต็มที่แล้วแต่คนไข้ไม่รอดชีวิดคือ การปล่อยวาง อาจจะมีความรู้สึกเสียใจบ้างแต่ก็เป็นช่วงแรก ๆ ของการทำงาน ยังมีการช่วยเหลือคนไข้ที่ผมรู้ว่ายังไงก็ต้องเสียชีวิต แต่เป็นการช่วยเพื่อยื้อเวลาและให้ญาติได้ทำใจ ผมได้แต่บอกว่าเราช่วยเหลือเต็มที่แล้ว บางคนเข้าใจบางคนไม่เข้าใจ ผมมักจะพบการการต่อรองจากญาติอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้ช่วยชีวิตคนไข้ต่อไปอีก ผมมักจะทำตามที่ญาติคนไข้ขอเพื่อให้เขาทำใจให้ได้และผมจะบอกโอกาสของการรอดชีวิตอยู่ตลอด สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องหยุด ทุกคนก็ต้องทำใจ แม้แต่ตัวผมเอง ในสถาการณ์ต่างๆ ของห้องฉุกเฉินผมมักจะพบกับความไม่แน่นอนของชีวิตอยู่บ่อย ๆ จากที่คนไข้เกือบตายกลายเป็นรอด หรือคิดว่าจะรอดแต่สุดท้ายก็ต้องจากไป ผมได้บทเรียนเหล่านี้บ่อยเสียจนผมสามารถปล่อยวางบางเรื่องและเข้าใจความไม่แน่นอนจนสามารถทำใจได้ไม่นาน แม้บางครั้งผมก็อาจจะปฏิเสธความจริงบางอย่างเพื่อต่อรองกับตัวเอง แต่สุดท้ายมันเป็นเช่นเดียวกับงานที่ผมทำอยู่คือ มันจะหยุด และต้องทำใจ การทำงานของหมอที่ยากอย่างหนึ่งคือการทำงานกับความเป็นความตายของคน ชีวิตของคนคนหนึ่งจะรอดหรือไม่รอดในสถานการณ์ที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วนมันอาจขึ้นอยู่กับหมอที่รักษา ความกดดันต่าง ๆ ที่เข้ามามันสอนผมอยู่เรื่อย ๆ ทำให้หัวใจของผมต้องแข็งแกร่ง บางคนอาจจะมองว่าพวกผมเฉยชาต่อความเป็นความตายแต่ที่รู้ที่เห็นมามันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ผมต้องเจอ และมันก็คืองานของผม หลายคนอาจจะเจอกับเรื่องราวความเป็นความตายของคนที่รักและสุดท้ายคนรักต้องจากไป ผมคิดว่า การเข้าใจความจริงของชีวิตและความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตเรา มันจะช่วยให้เราแก้ปัญหาและทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ดีที่สุด การไม่ยอมรับความจริงยิ่งจะทำให้เราทุกข์ใจและเสียใจจนสุขภาพใจเสียตามมาด้วย ในเรื่องความเป็นความตายหากเราเข้าใจว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของชีวิต เราจะทำใจกับเรื่องเหล่านี้ได้ดี แน่นอนว่าแต่ละคนคงจะใช้เวลาในการยอมรับความจริงที่แตกต่างกัน เพียงขอให้มีเวลาสักช่วงหนึ่งที่เข้าใจกับเรื่องเหล่านี้ เราจะยอมรับความจริงและมีสุขภาพใจที่ดีได้ หากพวกเราพบเจอเหตุการณ์เหล่านี้ ผมขอให้ผ่านความรู้สึกเสียใจและยอมรับความจริงได้อย่างรวดเร็วนะครับ

เข้าใจความสุข ความทุกข์ (14 ส.ค.2555)


     ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมาผมห่างหายจากการเขียนเล่าเรื่องให้พวกเราอ่าน สองสามเดือนก่อนหน้านี้มีเรื่องเข้ามามากมายในชีวิตบางครั้งเคยคิดว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมและมันยังจะเป็นกำลังใจในการทำงานให้กับผม แต่ความไม่แน่นอนของชีวิตคนเรามันสอนให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ความคาดหวังกับบางสิ่งมากเกินไปมันทำให้เกิดความทุกข์ทั้งกายและใจ ผมได้รับคำแนะนำในการดำเนินชีวิตจากเพื่อนร่วมงานหลายท่าน ประสบการณ์ต่างๆของเพื่อนร่วมงานที่ได้รับทราบ ทำให้รู้ว่าแนวคิดของเราเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ เสี้ยวหนึ่งของความสำเร็จในชีวิต ความสุขในชีวิตมันไม่ได้มีเรื่องเดียว เช่นเดียวกันกับความทุกข์ที่มีหลายเรื่องเช่นกัน หากแต่เราจะมองหาจุดใดเรื่องใดให้เป็นความสุข เรื่องความทุกข์เพียงแค่เราเข้าใจมันเราจะอยู่กับมันและดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี และสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้อีกคือ ทั้งสองสิ่งนี้มันไม่ใช่สิ่งที่จีรังยั่งยืนเลย มันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะเสื่อมสลายไปตามเวลาของมัน การที่กลับเข้ามามองจิตใจตัวเอง ดูแลสุขภาพใจตัวเองด้วยแนวคิดที่เข้าใจโลกในความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มันทำให้เราจัดการกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ขอบคุณช่วงเวลานี้จริง ๆ และขอบคุณทุก ๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ผมได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญอีกบทหนึ่งในชีวิต ขอบคุณจากใจจริงครับ

การรักษาอาการไข้ (24 มิ.ย. 2555)


      วันนี้ (24 มิ.ย. 2555) ผมขอเล่าเรื่องการรักษาอาการไข้ต่อ เมื่อหมอได้การวินิจฉัยอาการไข้แล้วว่าเกิดจากสาเหตุใดมากที่สุดก็จะทำการรักษาซึ่งขึ้นอยู่กับว่าอาการของโรครุนแรงแค่ไหน ในบางครั้งอาการของโรคทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาณชีพซึ่งได้แก่ ชีพจร ความดันโลหิต อัตราการหายใจ และ อุณหภูมิร่างกาย ที่อาจมีความผิดปกติมากและอันตรายหากให้กลับไปรักษาที่บ้าน หมอก็จะให้ผู้ป่วยพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หากเป็นการตรวจที่คลินิกหมอจะแนะนำคนไข้เพื่อให้มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเช่นกัน บางครั้งเราอาจจะคิดว่าอาการของเราค่อนข้างหนักและอยากจะนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่หมอที่รักษาไม่ได้ให้นอนโรงพยาบาล นี่เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่โรงพยาบาลของรัฐเจอได้บ่อย ๆ ด้วยข้อจำกัดเรื่องจำนวนเตียง อาการไข้บางกรณีอาจรักษาในลักษณะผู้ป่วยนอกที่สามารถให้ยาแล้วนัดมาติดตามอาการได้เช่นกัน หลายครั้งอาการของคนไข้แย่ลงเรื่อย ๆ และสุดท้ายจำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลในวันต่อมา ปัญหาตรงนี้มักจะเกิดคำถามกับคนไข้เสมอ ๆ ว่าทำไมหมอไม่ให้คนไข้นอนโรงพยาบาลตั้งแต่แรก และเกิดสัมพันธภาพที่ไม่ดีบ่อย ๆ คนไข้มักจะได้รับคำตอบเรื่องข้อจำกัดของจำนวนเตียงและพบว่าการอธิบายกับคนไข้หลาย ๆ ครั้งบางคนก็ยังไม่เข้าใจ
     ในบางโรงพยาบาลของรัฐเรามักจะพบว่าคนไข้ที่ต้องนอนโรงพยาบาลหลายคนจำเป็นที่จะต้องนอนเตียงเสริม นอนตรงทางเดิน หรืออาจต้องนอนที่ห้องฉุกเฉิน ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมเพราะต้องการที่จะรักษาที่โรงพยาบาล หลายคนอาจจะคิดว่าการนอนโรงพยาบาลมีความปลอดภัยและได้รับการช่วยเหลือหากมีอาการแย่ลงจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที ความคิดนี้เป็นจริงอยู่ไม่น้อยและคนไข้รอดชีวิตจากอาการที่แย่ลงจำนวนมากเช่นกัน ผมไม่ปฏิเสธคนไข้ที่อยากจะนอนโรงพยาบาลโดยที่หมอเห็นว่าไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล แต่เราควรจะคิดเสมอว่าในข้อดีของการนอนโรงพยาบาลก็มีข้อเสียอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เรื่องแรกแน่นอนที่ต้องเจอคือความไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านของเราและอาจจำเป็นที่จะต้องนอนตามทางเดิน ระเบียง หรือในห้องฉุกเฉิน ตรงนี้เราต้องถามตัวเองว่าเรารับกับสภาพเช่นนี้ได้หรือไม่ จริง ๆ แล้วถึงเราจะรับกับสภาพเช่นนี้ได้ แต่คำถามคือว่าจะมีที่ว่างให้สำหรับเตียงเราหรือไม่ บางคนอาจจะโชคดีได้เตียงห้องพิเศษหรือเตียงห้องสามัญแต่โอกาสเช่นนี้เป็นไปได้น้อยมาก อีกเรื่องที่สำคัญต่อมาถึงแม้ว่าเราจะได้เตียงนอนแล้วก็ตามคือการได้รับเชื้อโรคที่อยู่ในโรงพยาบาลที่อาจจะรุนแรงกว่าเชื้อโรคทั่วไปและมักจะพบว่าเชื้อโรคเหล่านั้นมีการดื้อยาจำนวนมากเราต้องชั่งน้ำหนักตรงนี้ด้วยว่าคุ้มกับความเสี่ยงหรือไม่
     คนไข้หลายคนเลือกที่จะรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนเนื่องจากไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายหรืออาจใช้สิทธิประกันสุขภาพของบริษัทประกันชีวิตที่ได้ทำไว้ ผมพบว่าอาการของคนไข้ในบางครั้งไม่ได้จำเป็นที่ต้องนอนโรงพยาบาลแต่คนไข้ต้องการนอนโรงพยาบาลเพื่อใช้สิทธิประกันสุขภาพไม่น้อยเลยทีเดียว เรื่องนี้ผมคิดว่า การใช้สิทธิตรงนี้อยากให้ใช้อย่างเหมาะสมเพราะการพิจารณาการจ่ายค่ารักษาไม่ใช่หมอที่ทำการรักษาเราแต่เป็นหมอของบริษัทที่เราทำประกันสุขภาพต่างหาก ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ที่หมอสองคนจะมีความเห็นไม่ตรงกันและเห็นว่าเป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลได้เช่นกันหากเป็นเช่นนั้นเราจะยอมรับกับค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่ นี่เป็นคำถามที่เราควรจะตอบกับตัวเองตั้งแต่แรก ๆ
     ในส่วนการรักษาโดยการให้น้ำเกลือและนอนโรงพยาบาลนั้นมีส่วนสำคัญที่ช่วยเรื่องอาการไข้ของคนไข้ เนื่องจากคนที่มีไข้มักจะมีภาวะขาดน้ำในร่างกายร่วมด้วย แต่ในการที่หมอเลือกให้น้ำเกลือกับคนไข้จะพิจารณาหลาย ๆ ประเด็นร่วมกัน บางครั้งการให้น้ำเกลืออาจไม่จำเป็นหากคนไข้คนนั้นสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้เป็นอย่างดี คนไข้หลายคนมักจะคิดว่าการให้น้ำเกลือช่วยทำให้อาการอ่อนเพลียดีขึ้นและอาจจะช่วยเหลือคนที่เบื่ออาหารและรับประทานได้น้อยได้อีกด้วย ความคิดของเขาเหล่านั้นไม่ผิดเสียทีเดียว ซึ่งน้ำเกลือส่วนใหญ่ก็จะมีน้ำกับเกลือหรือสารประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้มีความเข้มข้นเท่ากับเลือดเพื่อให้ไม่เกิดความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกายและทำให้เม็ดเลือดไม่แตกหรือเกิดความผิดปกติหากความเข้มข้นต่างจากในเลือด หลายชนิดมีน้ำตาลผสมอยู่ด้วย อาจจะมีส่วนช่วยคนไข้ที่รับประทานได้น้อยหรือไม่ได้รับประทานอาหารซึ่งให้ได้ในเวลาไม่นาน ข้อเสียของน้ำเกลือก็มีไม่น้อยเช่นกันหากเป็นการให้น้ำเกลือที่มากเกินไปก็อาจมีการคั่งอยู่ในร่างกาย ปัญหาที่พบบ่อยคือน้ำท่วมปอดในคนที่เป็นโรคหัวใจหรือเป็นโรคไตซึ่งเป็นความผิดปกติของการสูบฉีดเลือดและการขับน้ำออกจากร่างกาย หมอจึงพิจารณาการให้น้ำเกลือตามความจำเป็นในคนไข้แต่ละราย
     อาการไข้ส่วนใหญ่มักจะพบว่าเกิดจากการติดเซื้อ ซึ่งเชื้อก่อโรคมีหลายชนิด ได้แก่ เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว และพยาธิต่าง ๆ แต่ละชนิดจะมียารักษาโรคแตกต่างกันออกไป ซึ่งยากลุ่มนี้จะเรียกว่า ยาปฏิชีวนะ ยารักษาการติดเชื้อไวรัสก็จะมียารักษาการติดเชื้อไวรัสเฉพาะบางตัว บางกลุ่ม เช่น ยารักษาไวรัสเอชไอวี ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม หรืองูสวัด ไวรัสตับอักเสบ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น การติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่ร่างกายมักจะสามารถรักษาตัวเองและหายได้เอง บางชนิดยังมีการสร้างภูมิคุ้มกันอีกด้วย มีเชื้อไวรัสบางชนิดเท่านั้นซึ่งพบได้ไม่บ่อยที่ทำให้เกิดโรคอย่างฉับพลันและถึงขั้นเสียชีวิตก่อนที่ร่างกายจะสามารถต่อต้านหรือสร้างภูมิคุ้มกันได้ทัน การเลือกให้ยารักษาการติดเชื้อไวรัสจึงเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแน่ชัดหรือจากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยยืนยัน ส่วนอาการไข้ที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่มักจะทำให้เกิดอาการที่รุนแรงกว่าการติดเชื้อแบบอื่น ๆ และเชื้อบางชนิดอาจทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว และด้วยเหตุที่ยาที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียมีมากมายจึงทำให้แพทย์ส่วนใหญ่เลือกที่จะให้ยาที่รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่คิดถึงมากที่สุดเป็นลำดับแรก ๆ ในการรักษาอาการไข้ที่อาจจะยังไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันซึ่งจะเป็นการรักษาเพื่อที่จะลดความรุนแรงของโรคในช่วงแรกของการรักษา และส่วนใหญ่ของอาการไข้จากการติดเชื้อก็มักจะเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียเช่นกัน แม้ในบางครั้งผลการตรวจที่ได้มาภายหลังจะบ่งชี้ว่าเป็นการติดเชื้อกลุ่มอื่น ๆ ก็ตาม ส่วนการติดเชื้อรา พยาธิ หรือโปรโตซัว พบน้อยกว่ามาก และยังพอมีเวลาในการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยในการวินิจฉัย
     การรักษาอาการไข้ด้วยยามีการให้ยาหลายวิธีด้วยกันที่เรารู้จักและใช้บ่อย ๆ ได้แก่ ยากิน และยาฉีด คนไข้หลายคนคิดว่าการฉีดยาจะทำให้โรคที่เป็นหายได้เร็วกว่า เรื่องนี้มีส่วนจริงในบางโรคแต่บางโรคการกินยากับการฉีดยาผลการรักษาไม่ได้ต่างกัน ในบางครั้งการให้ยากินที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่ดีกว่ายาฉีดให้ผลในการรักษาดีกว่าด้วยซ้ำไป เรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับชนิดและประสิทธิภาพของยาที่ได้รับมากกว่า นอกจากนี้สิ่งที่ผมอยากจะบอกเรื่องยาบางชนิดที่เป็นยาช่วยรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้เจ็บคอ ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก เป็นต้น ยาเหล่านี้เป็นยาช่วยบรรเทาอาการไม่ได้ช่วยในการักษาโรคให้หายขาด จริง ๆ แล้วการรักษาโรคขึ้นอยู่กับว่าหมอให้ยาที่ทำให้สาเหตุของโรคหมดไปหรือไม่ซึ่งถ้าเป็นการติดเชื้อยาหลักจึงเป็นยาปฏิชีวนะ ยาที่ช่วยบรรเทาอาการจึงไม่ได้ทำให้อาการของโรคที่เราเป็นอยู่หายไปแต่อย่างใด ในเรื่องนี้ผมขอให้เรามั่นใจในหมอที่รักษาในการเลือกยาและวิธีการให้ยาและดูแลตัวเองตามคำแนะนำ เราสามารถสอบถามหมอที่รักษาเราได้ด้วยการสื่อสารที่เป็นมิตร หากอาการยังไม่ดีขึ้นขอให้เรากลับไปตรวจซ้ำได้ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิหรือถูกดุด่าว่ากล่าว นี่คือสิ่งที่เราควรทำ
     อีกเรื่องที่ผมพบและอาจเป็นเรื่องที่ทำให้หมอบางท่านไม่พอใจได้คือการที่คนไข้ขอยาหรือสั่งให้แพทย์สั่งยาตามที่ต้องการ เรื่องนี้หมอหลายคนอาจทำตาม หมอหลายคนดุคนไข้ หรือพูดจาที่ไม่เป็นมิตร หมอที่ดุคนไข้หรือพูดจาที่ไม่เป็นมิตรอาจมีความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองสูงหรือที่เรียกว่ามีอีโก้สูง และมีความคิดว่าการรักษาจะต้องเป็นตัวเขาเท่านั้นที่จะเป็นคนสั่งจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นได้ ผมจึงมีข้อแนะนำว่า ในเมื่อเราไว้วางใจให้หมอท่านรักษาก็ให้ท่านตัดสินใจเรื่องการสั่งยาจะดีกว่า หากเราจะสั่งยาเองผมว่าเราไปซื้อยาเองที่ร้านขายยาน่าจะดีกว่าโดนดุนะครับ เล่าเรื่องยาวอีกแล้วครับท่าน

ความหมาย "ผลตอบแทนแบบทบต้น" (13 มิ.ย. 2555)


     จากบทความที่ผ่านมา มีคนสงสัยคำว่า "ผลตอบแทนแบบทบต้น" หมายความว่าอย่างไร ผมขออธิบายง่าย ๆ อย่างนี้ครับ ผลตอบแทนแบบทบต้น หรือ ที่เราอาจจะเคยได้ยินว่า ดอกเบี้ยทบต้น (compound interest) มีหลักการคิดตามตัวอย่าง
สมมติว่าเราฝากเงินไว้ในธนาคาร 100 บาท ธนาคารให้ดอกเบี้ย 10% ต่อปี
สิ้นปีที่ 1 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 100 + (10% ของ 100) = 110 บาท
ปีที่ 2 เราก็ฝากเงิน 110 บาท ต่อไป ซึ่งเป็นเงินต้นของปีที่ 2
สิ้นปีที่ 2 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 110 + (10% ของ 110) = 121 บาท
ปีที่ 3 เราก็ฝากเงิน 121 บาท ต่อไป ซึ่งเป็นเงินต้นของปีที่ 3
สิ้นปีที่ 3 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 121 + (10% ของ 121) = 133.1 บาท
ปีที่ 4 เราก็ฝากเงิน 133.1 บาท ต่อไป ซึ่งเป็นเงินต้นของปีที่ 4
สิ้นปีที่ 4 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 133.1 + (10% ของ 133.1) = 146.41 บาท
ทำแบบนี้ไปเรื่อยจนถึงปีที่ n ซึ่ง สมการที่ใช้คำนวณคือ
FV = PV x (1+ RATE)^n 
{มูลค่าของเงินในอนาคต [ FV ] เท่ากับ มูลค่าของเงินในปัจจุบัน [ PV ] คูณด้วยในวงเล็บ 1 บวกอัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยที่ได้รับ [ RATE ] ยกกำลังจำนวนปีที่ลงทุน [ n ] }
เราสามารถใช้ ฟังก์ชั่น FV ใน Excel ช่วยคำนวณได้ครับ ลองไปดูในบทความที่แล้วครับ
หากเป็นการฝากเงินหรือลงทุนเพิ่มไปอีกในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกปี คิดผลตอบแทนแบบทบต้นได้ดังนี้ครับ
สมมติว่าเราฝากเงินไว้ในธนาคาร 100 บาท ธนาคารให้ดอกเบี้ย 10% ต่อปี แต่ละปีเราฝากเงินเพิ่มเข้าไปอีกปีละ 100 บาท
สิ้นปีที่ 1 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 100 + (10% ของ 100) = 110 บาท
ปีที่ 2 เราก็ฝากเงิน 110 บาท ต่อไป และฝากเงินเพิ่มอีก 100 บาท รวมเป็น 210 บาท ซึ่งเป็นเงินต้นของปีที่ 2
สิ้นปีที่ 2 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 210 + (10% ของ 210) = 231 บาท
ปีที่ 3 เราก็ฝากเงิน 231 บาท ต่อไป และฝากเงินเพิ่มอีก 100 บาท รวมเป็น 331 บาท ซึ่งเป็นเงินต้นของปีที่ 3
สิ้นปีที่ 3 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 331 + (10% ของ 331) = 364.1 บาท
ปีที่ 4 เราก็ฝากเงิน 364.1 บาท ต่อไป และฝากเงินเพิ่มอีก 100 บาท รวมเป็น 464.1 บาท ซึ่งเป็นเงินต้นของปีที่ 4
สิ้นปีที่ 4 เราจะได้รับเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 464.1 + (10% ของ 464.1) = 510.51 บาท
ทำแบบนี้ไปเรื่อยจนถึงปีที่ n
การฝากเงินหรือการสร้างผลตอบแทนเช่นนี้สามารถคำนวณโดยใช้อนุกรมเรขาคณิตแก้ปัญหา
สมการที่ใช้คำนวณคือ
FV = {PV x [ [ 1+ RATE]^ n+1] - 1} / RATE
(สำหรับสมการนี้ เงินที่ใส่เพิ่มหรือฝากเพิ่มเข้าไปในแต่ละปีเท่ากับ มูลค่าของเงินต้นที่เริ่มลงทุน [PV] ครับ)
สมการดูยุ่งยากมากทีเดียวครับ เราสามารถใช้ Financial function ใน Excel แก้ปัญหาได้เช่นกันครับ สามารถหาค่าตัวแปรแต่ละตัวได้หมด ขอให้เราทราบตัวแปรที่เหลือ
ฟังก์ชั่นที่ใช้คือ
=FV(rate,nper,pmt,pv)
nper = n (จำนวนปีที่ลงทุน)
pmt = เงินที่เราฝากเพิ่มหรือใส่เพิ่มในแต่ละปีในการลงทุน ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากันทุกปี
(ค่า pv กับ pmt ใส่ค่าลบในสูตรนะครับ)
ค่าที่ได้จะเป็นผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อสิ้นปีที่ n บวกกับ เงินที่ฝากเพิ่มหรือใส่เข้าไปแต่ละปี (pmt) ของปีต่อไป
ถ้าดูตัวอย่างของปีที่ 3 สิ้นปีจะได้เงินต้น รวมกับดอกเบี้ย เท่ากับ 364.1 บาท และรวมเงินที่ฝากเพิ่มเข้าไป อีก 100 บาท จะได้ 464.1 บาท (มันก็คือเงินต้นของปีที่ 4 นั่นเอง) เมื่อเราแทนค่าต่างๆ ในฟังก็ชั่น FV ใน Excel จะได้ ดังนี้ครับ
=FV(0.1,3,-100,-100)
ซึ่งจะได้ค่าเท่ากับ 464.1 ครับ
ประมาณนี้ครับ ตอนแรกว่าจะเขียนสั้น ๆ เล่นซะยาวเชียวเรา เฮ้อ

แผนการสู่ "อิสรภาพทางการเงิน" (11 มิ.ย. 2555)


     วันนี้ผมขอเล่าเรื่องการออมสักนิดครับเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้มีคนถามผมบ่อย ๆ เรื่องการบริหารจัดการเงินออม ควรจะออมเงินอย่างไร ออมเงินเท่าไหร่ดี เอาเงินออมไปทำอะไรดี เล่นหุ้นต้องทำอย่างไร เล่นหุ้นตัวไหนดี จริง ๆ ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการออมหรือเป็นเซียนอย่างที่หลายคนเข้าใจ โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบการออมเงิน ผมจึงพยายามศึกษาวิธีการออมและการลงทุนแบบต่าง ๆ จากท่านนักเขียนที่เขียนหนังสือการออมการลงทุนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ คนที่คิดถึงเรื่องการออมผมคิดว่าคงเข้าใจวัตถุประสงค์ของการออมเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคต หลายคนที่ไม่ได้คิดเรื่องการออมอาจจะบอกว่าเขาทำงานไปเรื่อย ๆ ชีวิตมีความสุขได้ไม่ต้องหวังอะไรมากมาย มีครอบครัวมีลูกเลี้ยงดูลูกตามฐานะความเป็นอยู่ พอเกษียณเขาได้เงินบำนาญจากการเป็นข้าราชการบ้าง จากเงินประกันสังคมบ้าง หรือไม่ก็ให้ลูกเลี้ยงดูเขา ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ผมไม่แสดงความเห็นตรงนี้แล้วกันว่าการออมเงินเพื่อความเป็นอยู่ในอนาคตหรือใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ตามรูปแบบที่คนส่วนใหญ่ทำอยู่แบบไหนดีกว่ากัน
         สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคือ ผมเป็นปุถุชนคนหนึ่งที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง ยังมีกิเลส ตัณหา เหมือนกับคนส่วนใหญ่ ผมยังมีความต้องการความสุขสบายในทางโลกอีกหลายอย่างดังนั้นผมจึงต้องออมเงินเพื่อชีวิตในอนาคตของผม หลายคนพูดถึงความสุขที่แท้จริงคือเป้าหมายสูงสุดของเขา การที่จะศึกษาค้นหาและฝึกปฏิบัติเพื่อที่จะได้พบกับความสุขที่แท้จริงมันเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายเราคงเห็นคนที่เข้าสู่สภาวะนิพพานและบรรลุอรหันต์มากมาย ถึงอย่างไรการเข้าสู่สภาวะนิพพานก็เป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับชาวพุทธที่ต้องการจะหลุดพ้นและพบกับความสุขที่แท้จริง สำหรับตัวผม ผมจะตั้งใจปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบของศีลธรรมจรรยาที่ดีงามของสังคม เป้าหมายเพื่อเข้าสู่สภาวะนิพพานคงมีอยู่ในฐานะของชาวพุทธจะทำได้หรือไม่ว่ากันอีกที เรื่องนี้คงไม่ต่างจากเรื่องการออมที่ต้องมีเป้าหมายสูงสุดซึ่งก็คือการมีอิสรภาพทางการเงิน ความหมายของมันคือการมีเงินใช้จ่ายได้ตลอดแม้ว่าเราไม่ต้องทำงานก็ตาม เอาเป็นว่าผมจะเล่าแนวคิดรวบยอดที่ผมที่ได้ศึกษามาและคิดว่าทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริงก็แล้วกัน
       เมื่อเราตั้งเป้าหมายของการออมเงินคือการมีอิสรภาพทางการเงินได้แล้ว ต่อไปคือการทำตามแผนที่ตั้งไว้ทีละขั้น คำถามแรก ๆ คำถามหนึ่งคือ ควรจะออมเงินเท่าไหร่ดี ซึ่งคนทั่วไปมักจะคิดว่าเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำคือมีเงินเข้าไปก่อน ก่อนจะไปถึงคำตอบของคำถามนั้นผมจะให้เราคิดถึงเงินที่ต้องจ่ายออกไปก่อน ขั้นแรก ให้เราคำนวณก่อนว่าเมื่อเราเกษียณหรือไม่ได้ทำงานแล้วเรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณเท่าไหร่โดยคิดจากมูลค่าของเงิน ณ ปัจจุบัน เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล ประมาณการณ์แบบคร่าว ๆ เผื่อเหลือเผื่อขาด จากนั้น ให้เราคำนวณว่า เงินจำนวนนี้มีมูลค่าเท่าไหร่เมื่อตอนเราเกษียณ โดยคิดตามอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยซึ่งมีค่าประมาณ 3-4 % ต่อปี คิดตามระยะเวลาเป็นปีที่เราเหลือในการออมเงิน มีสูตรคำนวณที่พวกเราสามารถค้นหาได้ครับ (หรือใช้ฟังก์ชั่น =FV(rate,nper,pmt,pv) ใน Excel ผมจะยกตัวอย่างการแทนค่าตอนท้ายครับ)
       ยกตัวอย่าง สมมติ ผมจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี ต้องมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนคิดเป็นมูลค่าของเงินในปัจจุบันเท่ากับ 20,000 บาท และผมเหลือเวลาออมเงินอีก 30 ปี สมมติอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเท่ากับ 3 % ต่อปี เงินจำนวน 20,000 บาท ณ ปัจจุบันผมคำนวณแล้วจะมีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินจำนวน 48,545 บาท ในอีก 30 ปีข้างหน้า จากนั้นผมจะนำเอาเงินจำนวนนี้คูณด้วย 12 จะได้เป็นค่าใช้จ่ายต่อปีในช่วงเวลาที่ผมเกษียณ ซึ่งจะได้เท่ากับ 48,545 x 12 = 582,540 บาทต่อปี จากนั้นผมจะคำนวณว่าเงิน 582,540 บาท เป็นกี่เปอร์เซ็นของเงินจำนวนใดบ้าง ซึ่งหมายความว่า ผมจะหาเงินก้อนนั้นให้ได้เพื่อให้มันสร้างผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 582,540 บาทอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น 
          เงิน 582,540 บาท เป็น 10% ของเงินจำนวน 5,825,400 บาท
          เงิน 582,540 บาท เป็น 7%   ของเงินจำนวน 8,322,200 บาท
          เงิน 582,540 บาท เป็น 5%   ของเงินจำนวน 11,650,800 บาท
          เงิน 582,540 บาท เป็น 3%   ของเงินจำนวน 19,418,000 บาท
     ตอนนี้ผมได้เงินเป้าหมายที่ผมจะต้องออมให้ได้แล้ว หลายคนคงจะตั้งคำถามว่าแล้วเราจะเลือกเงินจำนวนไหนเป็นเป้าหมายในการออม  ผมแนะนำว่าเราก็ลองประเมินตัวเองดูว่า ในตอนเกษียณ เรามีความสามารถสร้างผลตอบแทนได้กี่เปอร์เซ็นต์ เช่น ถ้าคิดว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 10 % ต่อปี ก็เลือกเป้าหมายของเงินออมคือ 5,825,400 บาท ตรงนี้ผมอยากจะแนะนำว่าเราควรศึกษาหาความรู้ในแต่ละการลงทุนว่ามันสามารถสร้างผลตอบแทนได้เท่าไหร่ มีความเสี่ยงเป็นอย่างไรเพราะยิ่งผลตอบแทนสูงความเสี่ยงก็จะสูงตามไปด้วย เราสามารถรับกับความเสี่ยงนั้นได้มากน้อยแค่ไหน แล้วจึงเลือกลงทุนในการลงทุนนั้น ๆ ในแต่ละการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนแตกต่างกัน ผมขอยกตัวอย่างดังนี้
          เงินฝาก ได้ผลตอบแทนสูงสุด ประมาณ 3 % ต่อปี
          พันธบัตร ประกันชีวิต ได้ผลตอบแทนสูงสุด ประมาณ 5 % ต่อปี
          ตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ ได้ผลตอบแทนสูงสุด ประมาณ 6-7 % ต่อปี
          หุ้นสามัญ อาจได้ผลตอบแทนสูงสุดหลายร้อย หรือ เป็นพันเปอร์เซ็นต์ต่อปีแต่โดยเฉลี่ยแล้วได้ผลตอบแทนสูงสุดประมาณ 10 % ต่อปี
    
          จริง ๆ แล้วมีการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงได้ผลตอบแทนสูงที่เรียกว่า ตราสารอนุพันธ์ ผมไม่ค่อยอยากจะเรียกว่าการลงทุน มันคือการเก็งกำไรเสียมากกว่า ลักษณะของมันคล้าย ๆ การพนันที่ถูกกฎหมาย ผมไม่แนะนำถ้าใครไม่ได้ศึกษามาเป็นอย่างดี แม้แต่ตัวผมเองที่ศึกษาจนเข้าใจลึกซึ้งถึงวิธีการลงทุนและวิธีการที่จะได้ผลตอบแทนจำนวนมากผมยังไม่กล้าเข้าไปเสี่ยง มีการลงทุนอื่น ๆ อีก เช่น อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า หรือ ทองคำ อันนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่สนใจและมีความรู้เรื่องนี้ หรือแม้แต่การลงทุนในกิจการของตนเองนอกเหนือจากงานประจำที่กิจการนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้ตลอดและมูลค่าของตัวกิจการเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราอาจจะไม่ต้องใช้เวลาดูแลมากเป็นอีกการลงทุนที่น่าสนใจสามารถทำได้เช่นกัน แต่การลงทุนเหล่านี้ผมไม่สามารถคำนวณผลตอบแทนและมูลค่าของมันได้ใกล้เคียงความเป็นจริงในทุกกรณี ผมจึงขอกล่าวถึงเฉพาะการลงทุนที่ทราบผลตอบแทนชัดเจนก็แล้วกัน
      ตอนนี้ผมจะตอบคำถามแรกที่ถามว่าจะออมเงินเท่าไหร่ดี ถ้าใครยังจำได้ ผมเคยเล่าเรื่องผลตอบแทนแบบทบต้น ถึงตรงนี้ผมจะนำมันมาใช้ประโยชน์ สมมติว่า ตอนเกษียณผมเลือกการฝากเงินเพื่อให้ได้ดอกเบี้ย 3 % ต่อปี ดังนั้นผมจะต้องออมเงินให้ได้ 19,418,000 บาท และผมจะลงทุนในหุ้นตั้งแต่ตอนนี้ตั้งเป้าหมายให้ได้ผลตอบแทน 10 % ต่อปีแบบทบต้น ใช้เวลาลงทุน 30 ปี

เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวนผมจะใช้ฟังก์ชั่น =PMT(rate,nper,pv,fv) ใน Excel
ก่อนจะใส่ค่าผมขออธิบายความหมายของแต่ละตัวก่อนครับ
fv คือ future value ในที่นี้คือ มูลค่าของเงินในอนาคต
pv คือ present value ในที่นี้คือ มูลค่าของเงินในปัจจุบัน
rate คือ อัตราผลตอบแทนที่ได้รับต่อปีในอัตราที่เท่ากันตลอดทุกปี โดยคิดแบบทบต้น หรือ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปีโดยคิดแบบทบต้นหากใช้คำนวณหาค่าเงินในอนาคต
nper คือ number of period ในที่นี้คือ จำนวนปีที่ลงทุน หรือ จำนวนปีที่ต้องการคำนวณค่าเงินในอนาคต
pmt คือ periodic payment ในที่นี้คือ จำนวนเงินลงทุนที่ใส่เพิ่มไปในแต่ละปีเป็นจำนวนเท่ากันทุกปีที่ลงทุน
         แทนค่าจะได้ rate = 0.1 (=10%), nper = 30, pv = 0, fv = -19,418,000 (ค่า pv กับ fv ให้ใส่ค่าลบลงไปในสูตรครับ ค่าที่ไม่ทราบให้ใส่ 0 ครับ) ดังนั้นเราจะได้การแทนค่าในสูตรตามนี้นี้ครับ
          = PMT(0.1,30,0,-19418000)
      ให้พิมพ์ดังตัวอย่างเข้าไปใน Excel แล้วกด enter จะได้ค่าออกมา ในกรณีนี้ ได้ค่า 118,046.84 บาท ซึ่งก็คือเงินออมที่ต้องใส่เพิ่มเข้าไปในแต่ละปี เมือนำมาคิดต่อเดือน จะได้
          118,046.84/12 = 9,837.24 บาทต่อเดือน
          สรุปก็คือ หากเราต้องการใช้เงินตอนเกษียณ เดือนละ 20,000 บาท (ค่าเงิน ณ ปัจจุบัน) ซึ่งเทียบเท่ากับเงิน 48,545 บาท ในอีก 30 ปี ข้างหน้า (คิดที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 3% ต่อปี) จะต้องมีเงินออม 19,418,000 บาท และนำไปฝากธนาคารหรือลงทุนแล้วได้ผลตอบแทน 3% ต่อปี ซึ่งต้องออมเงิน เดือนละ 9,837 บาท เป็นเวลา 30 ปี และสร้างผลตอบแทนให้ได้ 10% ต่อปีแบบทบต้น
(หมายเหตุ การคำนวณหาค่าเงินในอนาคตใช้หลักการเดียวกันโดยให้ใส่ค่า pmt เป็น 0 และ ใส่ค่า pv เป็นลบก็จะได้ค่าดังตัวอย่างครับ)
     
     นี่คือตัวอย่างการคำนวนเงินออมที่อาจจะดูยุ่งยากสักหน่อย ลองพยายามดูนะครับ ผมคิดว่าไม่ยากเกินไป ใครอ่านจนจบผมนับถือจริง ๆ เพราะมันยาวมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเขียนมา ยังไงผมก็เอาใจช่วยคนที่ตั้งใจออมเงินนะครับ อีกยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าเราจะมีเศรษฐีใหม่อีกมากมาย ซึ่งก็คือพวกเราที่รักการออมนั่นเอง ครับผม