ความหมายของไข้ในทางการแพทย์นั้นคือการเพิ่มของอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าค่าปกติ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะวัดในตำแหน่งใดของร่างกาย สาเหตุของไข้สามารถเกิดได้จากหลายโรคด้วยกัน บางครั้งในการซักถามประวัติของคนไข้เราอาจจะสงสัยว่าทำไมหมอจึงถามคำถามเหล่านั้นออกมา ผมเห็นรุ่นน้องแพทย์ใช้ทุนคนหนึ่งถามถึงระยะเวลาการเป็นไข้อย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวอย่างคำถามที่ถามคือ คนไข้เป็นไข้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนไข้ตอบว่า ตอนเช้า น้องแพทย์ใช้ทุนจึงถามต่อว่าเป็นตอนกี่โมง คนไข้ก็ไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรดีเพราะไม่แน่ใจว่าเป็นตอนกี่โมงจึงตอบไปอีกครั้งว่า ก็ตอนเช้าหลังตื่นนอนครับคุณหมอ จากนั้นจึงเกิดคำถามที่ขึ้นเสียงกับคนไข้จากแพทย์ใช้ทุนคนนั้นเพื่อที่จะได้คำตอบเวลาที่แน่ชัด นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่อาจนำไปสู่สัมพันธภาพที่ไม่ดีระหว่างสองฝ่าย จริง ๆ แล้วระยะเวลาในการเริ่มเป็นไข้มีส่วนสำคัญในการวินิจฉัยโรคเช่นกัน แต่ระยะเวลาที่แน่ชัดถึงขั้นผิดพลาดไม่ได้เป็นนาทีหรือแม้แต่หนึ่งหรือสองชั่วโมงอาจไม่ได้จำเป็นมากขนาดที่จะเปลี่ยนการวินิจฉัยโรคหรือเปลี่ยนการรักษา หากอาการไข้ที่เป็นไม่กี่นาทีหรือหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อน คนไข้ส่วนใหญ่คงจะบอกได้ไม่ผิดพลาด แต่หากเป็นไปได้ผมก็อยากให้พวกเราแจ้งเวลาที่แน่ชัดไปเลยว่าเริ่มเป็นเมื่อใด ซึ่งถ้าฟังดูแล้วก็จะเห็นว่าคนไข้ใส่ใจกับอาการของโรคด้วย บางอาการระยะเวลาเป็นนาทีหรือวินาทีอาจมีความจำเป็นมากเช่น อาการหมดสติ อาการเจ็บหน้าอก เป็นต้น บางครั้งเราจะเห็นหมอที่รักษาคาดคั้นเวลาจากเราให้ได้เช่นกัน
คำถามที่หมอจะถามเพิ่มเติมจากระยะเวลาที่เป็นคืออาการร่วมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการของไข้หวัดเช่น เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ หรืออาการทางระบบทางเดินอาหาร อาการทางระบบทางเดินปัสสาวะ และ ระบบอื่น ๆ อีกหลายระบบ บางคนอาจจะตั้งคำถามในใจว่าจะถามอะไรมากมาย ผมเคยได้ฟังเจ้าหน้าที่ธุรการที่เคยทำงานร่วมกันบ่นให้ผมฟังว่าทำไมหมอถึงถามอะไรมากมายแล้วอย่างนี้หมอจะวินิจฉัยได้ถูกต้องเหรอ ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่คนนั้นคือการที่หมอเก่งหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้นควรถามคำถามน้อยที่สุดและตรวจคนไข้น้อยที่สุดแล้วสามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่ยำ ความเข้าใจของเขามีส่วนถูกอยู่ไม่น้อย เรามักจะเห็นว่าแพทย์เฉพาะทางบางท่านเลือกที่ถามประวัติหรือตรวจเฉพาะในส่วนที่ตนเชี่ยวชาญและท่านก็ได้การวินิฉัยโรคและเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องเสียด้วย ในความเห็นของผม ผมคิดว่าการได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจยิ่งมากยิ่งดีจะช่วยให้หมอสามารถวินิจฉัยโรคร่วมอื่น ๆ ได้อีกด้วย ผมขอให้พวกเราสบายใจได้เลยว่าหากหมอที่ซักถามประวัติละเอียดแสดงถึงว่าเขามีความใส่ใจตัวเราและโรคที่เรากำลังเป็นอยู่ จริงอยู่การถามคำถามเพียงไม่กี่คำถามหมอสามารถวิฉัยโรคได้แล้วแต่บางครั้งโรคบางอย่างที่เกิดร่วมอาจจะถูกละเลยไปได้ทั้งที่โรคนั้นเป็นโรคสำคัญ แต่ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างทำให้หมอเลือกถามเฉพาะคำถามที่สำคัญ ข้อจำกัดที่สำคัญที่พบได้บ่อยคือเรื่องเวลากับจำนวนคนไข้ที่รอรับการตรวจ
คำถามอื่น ๆ ที่หมออาจจะถามร่วมด้วย เช่น การเดินทาง สิ่งแวดล้อมที่เราไปสัมผัส ซึ่งรวมถึง อาหารการกิน คนในครอบครัว หรือแม้แต่โรคประจำตัวที่คนไข้เป็นอยู่ การแพ้ยา การรักษาก่อนหน้านี้ และอาจมีคำถามอีกมาก คำถามเหล่านั้นล้วนแต่มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคและนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง บางครั้งคำถามของหมอที่ถามว่า เป็นอะไรมา เราสามารถเล่าอาการและเหตุการณ์ของอาการไม่สบายทั้งหมดให้หมอฟังได้เลย สิ่งหนึ่งที่หมอหลายท่านอาจจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจ คือการที่คนไข้ตอบคำถามในเชิงที่เป็นการวินิจฉัยโรคหรือวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยของคนไข้เองทั้งที่หมอยังไม่ทราบอาการของคนไข้อย่างละเอียด การวิฉัยโรคของคนไข้ด้วยตัวเองสำหรับคนที่มีอาการไข้ที่พบบ่อยส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่มีการอักเสบในร่างกาย เช่น คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไข้หวัด ไซนัสอักเสบ ลำไส้อักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ มดลูกอักเสบ เป็นต้น คำตอบเหล่านี้แพทย์บางท่านอาจมีคำถามกลับไปว่าคนไข้รู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นโรคนั้น ๆ บางท่านอาจจะแสดงอาการไม่พอใจได้หรือบางท่านอาจรู้สึกเฉย ๆ และยิ้มให้ หรือบางท่านอาจจะยิ้มในใจ หมอที่ได้พบคนไข้เช่นนี้บ่อย ๆ จะเข้าใจและอธิบายให้คนไข้เข้าใจได้ เรื่องนี้ผมคิดว่าในส่วนของคนไข้เราสามารถเปลี่ยนจากคำตอบเป็นคำถามได้ไม่ว่าหมอท่านนั้นจะมีอารมณ์เป็นเช่นไร ตัวอย่างคำถามเช่น อาการอย่างนี้มันพอที่จะเป็นหลอดลมอักเสบได้ไหมครับคุณหมอ ซึ่งผมคิดว่าการสื่อสารจะดูราบรื่นขึ้น
ในส่วนการตรวจร่างกายพวกเราอาจจะพบว่าหมอบางท่านตรวจคนไข้อย่างละเอียดหลาย ๆ ระบบของร่างกายแต่หมอบางท่านเลือกตรวจเฉพาะส่วนที่สำคัญ และทั้งสองคนได้การวินิจฉัยโรคที่ตรงกันด้วย ความเห็นผมคงไม่ต่างจากการซักถามประวัติที่ยิ่งได้ข้อมูลมากยิ่งได้เปรียบ เช่นเดียวกันด้วยข้อจำกัดในหลาย ๆ อย่างทำให้หมอจึงต้องเลือกตรวจร่างกายเฉพาะส่วนสำคัญ ตัวอย่างที่พบบ่อยคืออาการเจ็บคอที่หมอส่วนใหญ่จะให้ผู้ป่วยอ้าปากและกดลิ้นเพื่อตรวจในคอ แล้ววินิจฉัยและสั่งการรักษาโดยอาจไม่ได้ทำการตรวจในระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เรื่องนี้ทำให้คนไข้บางคนเกิดการเรียนรู้ว่าหากมีอาการดังกล่าวอีกพอถึงการตรวจร่างกายหมอหยิบไฟฉายขึ้นมาก็จะอ้าปากรอเพื่อให้ตรวจทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าหมอจะเอาไฟฉายไปส่องตรวจส่วนไหนของร่างกาย ผมเจอเหตุการณเช่นนี้บ่อย ๆ บางครั้งผมตั้งใจว่าจะตรวจตาหรือส่องดูในรูจมูก แต่เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เสียหน้าเราก็จะส่องตรวจในคอเขาตามที่เขาตั้งใจให้เราตรวจ ผมเองก็ไม่สามารถตรวจคนไข้ทุกคนได้อย่างละเอียดทุกระบบหากมีข้อจำกัดต่าง ๆ เช่นกัน แต่ผมจะใช้ประสบการณ์และการอธิบายให้ฟังอย่างเป็นห่วงกับคนไข้และการกลับมาตรวจซ้ำหากอาการไม่ดีขึ้นในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ในส่วนการรักษามีประเด็นอีกมาก ถ้าผมว่าง ๆ โอกาสหน้าผมจะเล่าให้ฟังอีกครับ วันนี้รู้สึกว่ามันยาวไปแล้วเดี๋ยวคนอ่านจะเบื่อครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น