สิ่งที่ผมชอบทำสิ่งนี้มันคงเหมือนกับที่คนจำนวนมากชอบทำนั่นคือ การออมเงิน ผมชอบการเก็บสะสมเงินมาตั้งแต่สมัยผมยังเด็ก แต่ด้วยเหตุที่ครอบครัวของผมไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยจึงเก็บได้ไม่มากมายสักเท่าไหร่นัก ในตอนเด็ก แม้แต่เงินที่แม่ให้ไปโรงเรียนก็เพียงพอเฉพาะค่าอาหารกลางวัน บางวันแม่ให้เงินมากหน่อยจึงได้กินขนมบ้าง ยังจำได้ว่าตอนประถมได้เงินไปโรงเรียน 2-3 บาท วันที่ได้มากกว่าปกติได้ 5 บาท วันนั้นก็ได้กินอิ่มเงินหยอดกระปุกไม่ได้มากมาย ปีหนึ่งได้ประมาณร้อยกว่าบาท พอถึงวันเด็กแต่ละปีก็จะทุบกระปุกเอาไปฝากธนาคารออมสินทางธนาคารจะให้กระปุกออมสินอันใหม่มาอีก นึกถึงความรู้สึกตอนนั้นทีไรรู้สึกดีทุกที
ตอนมัธยมจำได้ว่าได้เงินไปโรงเรียน 20 บาท จริง ๆ แล้วก็ถือว่าพอกับค่าอาหารเพราะผมจะกินข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวันรวมกันตอนสิบโมง ข้าวหนึ่งจานกับกับข้าวสองสามอย่างราคาสิบกว่าบาทได้ เพื่อนหลาย ๆ คนที่บ้านอยู่ไกลหรือที่มาจากต่างอำเภอต่างก็ทำเหมือนกันเพราะแต่ละคนต้องตื่นแต่เช้าขึ้นรถกันตอนเช้าตรู่จึงไม่มีเวลากินข้าวเช้า ส่วนผมตื่นนอนประมาณตีห้าครึ่งรถที่รับส่งประจำมารับตอนประมาณหกโมงเช้ากว่าจะรับคนครบเกือบจะเจ็ดโมงได้ ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงโรงเรียน มีเวลาเหลือกินข้าวนิดหน่อยแต่ไม่ค่อยหิว บางวันต้องมาลอกการบ้านเพื่อนอีกยิ่งไม่มีเวลาเหลือ แต่เหตุผลสำคัญที่ผมไม่ได้กินข้าวเช้าเพราะผมจะพยายามเหลือเงินให้พอกับค่ารถกลับบ้านเวลาที่ผมตกรถที่รับประจำ เนื่องจากบางวันมีกิจกรรมหรือมีธุระที่ต้องทำ สมัยมัธยมไม่ค่อยได้เก็บเงินเท่าไหร่ด้วยเหตุผลที่ผมจะเอาเงินไปซื้อหนังสือเรียนกับหนังสือคู่มือต่าง ๆ
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยพอจะได้เก็บบ้าง ส่วนใหญ่จะเก็บเป็นเศษเหรียญจากที่เคยหยอดกระปุกออมสินก็เปลี่ยนเป็นใส่ในกระป๋องมันฝรั่งทอดยี่ห้อหนึ่งด้วยเหตุผลที่ทุกคนคงทราบคือ มันหยิบออกมาใช้ได้ง่ายกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามผมเก็บเหรียญรวม ๆ แล้วถ้าผมจำไม่ผิด เงินเก็บตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีหกประมาณ 5,000 บาทได้ รู้สึกภูมิใจนิด ๆ และได้เอาเงินทั้งหมดไปแลกเป็นธนบัตรแล้วฝากธนาคาร
ถึงตอนทำงานการเก็บเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในบัญชีออมทรัพย์เนื่องจากเงินเดือนจะจ่ายผ่านบัญชีธนาคารแต่ถึงอย่างไรผมยังเก็บเหรียญเช่นเคย สามปีหลังจากการทำงานนับเหรียญรวม ๆ แล้วได้ 7,000 กว่าบาท แต่รอบนี้แม่กับพี่สาวช่วยกันนับแล้วเอาไปฝากให้ทั้งที่เป็นเหรียญ พี่สาวบอกว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารทำหน้างง ๆ ผมฟังแล้วได้แต่ยิ้ม ๆ ส่วนใหญ่ของเงินออมของผมตอนนั้นจะอยู่ในบัญชีธนาคาร การเก็บเหรียญจึงเป็นเงินที่ได้เพิ่มอีกส่วนหนึ่ง
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดเสมอสำหรับเงินออมของผมคือ ผมควรจะบริหารเงินออมของผมอย่างไรดี เมื่อก่อนตอนเด็กดอกเบี้ยเงินฝากสูงมากประมาณ 8-10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ผมนั่งคำนวนด้วยสูตรคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ว่าถ้าเรามีเงิน 1 ล้านบาทเราจะได้ดอกเบี้ยประมาณ 80,000 บาท ถ้าเอามาหารด้วย 12 จะได้เงินต่อเดือน ประมาณ 6,000 กว่าบาท ซึ่งถ้าเป็นสมัยนั้นถือว่าเป็นเงินที่เยอะเลยทีเดียวและสามารถใช้จ่ายได้อย่างเหลือเฟือในหนึ่งเดือน นั่นคือเป้าหมายแรก ๆ ของผมในตอนเด็กที่จะเก็บเงินให้ถึงจำนวนนั้นเพื่อเป็นเงินต้นและให้ดอกเบี้ยเราไปเรื่อย ๆ แต่ในความเป็นจริงพวกเราคงทราบดีว่าการจะฝากเงินเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยสูงขนาดนั้นคงเป็นไปได้ยากในปัจจุบันและในอนาคต
สิ่งที่ผมศึกษาอย่างจริงจังในช่วงที่ทำงานแล้วจึงเป็นเรื่องการบริหารเงินออม ด้วยความที่เป็นคนชอบออมเงินอยู่แล้วผมจะกำหนดเป้าหมายของตัวเองให้ได้ก่อนว่าผมจะออมเงินต่อเดือนเท่าไหร่ ซึ่งจะคิดจากความเป็นไปได้ในค่าตอบแทนที่ได้จากงานประจำและงานพิเศษที่ผมสามารถทำได้แล้วจึงเก็บออมไว้ก่อน จากนั้นใช้ส่วนที่เหลือ หากส่วนที่เหลือใช้ไม่หมดก็จะเก็บเข้าไปในส่วนเงินออมอีก และด้วยความที่ผมอยากให้เงินออมงอกเงยและสร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมสามารถทำได้ เพื่อที่จะได้มีอิสรภาพทางการเงิน นั่นคือ การที่เรามีเงินใช้จ่ายได้ตลอดแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำงานก็ตาม ผมจึงศึกษาวิธีการลงทุนหลากหลายวิธี สิ่งที่ผมพบอย่างหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่คือ ผลตอบแทนแบบทบต้น ไอน์สไตน์ เคยกล่าวว่า มันคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก ผมคิดว่า ผมเห็นด้วย สิ่งสำคัญในเรื่องนี้คือความอดทน จะมีใครที่อดทนให้เงินออมสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นเป็นเวลาสิบปียี่สิบปีหรือไม่ ผมคงตอบคำถามนี้แทนพวกเราไม่ได้
ตอนนี้ผมกำลังจะทำให้เงินออมสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เราคงเคยได้ยินว่าให้เงินทำงานแทนเรา ตอนนี้มันกำลังเข้างานใหม่และมันกำลังเริ่มทำงานกว่ามันจะได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นคงใช้เวลาอีกหลายปีผมรอคอยมันได้ และผมจะคอยช่วยเติมพลังให้มันไปเรื่อย ๆ เพื่อให้มันโตขึ้นไปอีก สักวัน วันที่ผมรอคอยอิสรภาพทางการเงินคงมาถึง ถึงวันนั้น ผมจะทำในสิ่งที่ผมชอบอีกสิ่งหนึ่งได้อย่างเต็มที่ แล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น